ไม่มีอะไรเหมือนคุณหญิง(Nothing Like a Dame): การแสดง น. เป็นเรื่องของสไตล์ วัฒนธรรม และวิวัฒนาการทางสังคมของชุมชนนักการละคร
(2/4) ไม่มีอะไรเหมือนคุณหญิง (Nothing Like a Dame): จากมายาพิศวง ถึง กางจอ สองเดือนกับละครและภาพยนตร์หลายเรื่องในเรโทรเสป็กต์ มันทำให้เรามองเห็น และคิดถึงอะไรบ้าง?
ในกระท่อมอายุมากหลังหนึ่งในอังกฤษที่ถูกรีโนเวทจนไฮโซ กล้องแพนเข้าไปหาหญิงชราสี่คนกำลังคุยกันอยู่ หญิงชราสี่คนนี้ไม่ได้มีกำเนิดที่สูงศักดิ์ เป็นลูกชาวบ้านธรรมดา ในยุคสมัยของพวกเธอก็ไม่ได้สวยจนเกินคนทั่วไป แต่พวกเธอต่างเคยเล่นเป็น “ควีน” และควีนอลิซาเบธยังแต่งตั้งให้พวกเธอเป็น “คุณหญิง” อีกด้วย
“ฉันว่าแฮ็มเล็ตของโอลิเวียร์มันแฮมไปหน่อย”
(แฮม คือ นักแสดงเล่นในลักษณะที่เอาอารมณ์เป็นลิ่มๆมาตอกใส่หน้าคนดูจนหงายหลังแบบที่ฝรั่งเรียกว่า “แฮม” มักมีลีล่าใหญ่เกินไป หรือเสียงดังเกินไป ดูแล้วคนดูไม่คล้อยตาม)
เดม โจแอน โพลไรต์ พูดถึงการแสดงของลอร์เรนซ์ โอลิเวียร์ นักแสดงที่ดังที่สุดในอังกฤษในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็ยังคงสถานะดาราใหญ่ของอังกฤษมาถึงปลายศตวรรษ
และเขาเป็นสามีในชีวิตจริงของโจแอนด้วย ในภาพยนตร์เรื่อง “ไม่มีอะไรเหมือนคุณหญิง” หรือ “นัทติงไลค์อะเดม” โจแอน และเดมอีกสามคนคือ
จูดี้ เดนช์ (Judi Dench)
แม็กกี้ สมิธ (Maggie Smith)
และ เอลีน แอทคินส์ (Eileen Atkins)
คุยกันถึงชีวิตนักแสดงของพวกเธอตั้งแต่สาวยันแก่ กล่าวได้ว่าพวกเธอมีชีวิตอยู่ในช่วงที่รุ่มรวยมากในประวัติศาสตร์วงการละครและภาพยนตร์ของอังกฤษ ภายหลังสงครามโลกคือช่วงเวลาของการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม โดยมีโอลิเวียร์ เป็นผู้มีบทบาทในการวางรากฐาน ไปจนถึงตั้งโรงละครแห่งชาติของอังกฤษ
การมาถึงของมิเชล แซงก์ เดนิส นักการละครชาวฝรั่งเศสที่ช่วยโอลิเวียร์ และจอร์จ เดวีน ก่อตั้งโรงเรียนโอลวิก เธียเตอร์สกูล บนชั้นสองของโรงละครโอลวิกในลอนดอน และวางรากฐานวิธีการฝึกนักแสดงของอังกฤษในทุกวันนี้ ด้วยการสร้างสมรรถภาพของร่างกาย เสียง และทักษะการเล่น โดยนักแสดงจะต้องเรียน เช่น การตีความบท การร้องเพลง การออกเสียง การด้นสด หน้ากาก การแสดงละครสไตล์ต่างๆ เช่น ละครกรีก ละครเชคสเปียร์ การเต้นรำ ฟันดาบ และสเตจคอมแบท เป็นต้น
การตั้งโรงละครรอยัล คอร์ต กลางสโลนสแควร์ ของจอร์จ เดวีน เพื่อดึงนักเขียนให้กลับเข้ามาสู่โลกแห่งการละคร (ภายหลังรอยัลคอร์ตเป็นหนึ่งในโรงละครที่ประสบความสำเร็จที่สุด สร้างนักเขียนบท: เดวิด แอร์, แคลริล เชอร์ชิล, ไซมอน สตีเฟ่น และนักแสดงใหม่ๆมากมายให้กับอังกฤษ) เพื่อสร้างและตอบสนองความกระหายความจริงแบบคิชเช่นซิ้งก์ (ละครที่แต่งขึ้นจากเรื่องราวในชีวิตจริงของคนในสังคมขณะนั้น) ของผู้ชมชนชั้นกลางกลุ่มหลักในอังกฤษ
มันทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากช่วงเวลาทองของบทละครของโนเอล คาวเวิร์ด เทอเรนซ์ รัตติแกน “เกย์” ในสมัยที่การเป็นเกย์ยังผิดกฎหมายจึงเขียนบทละครเช่น ไพรเวท ไลฟส์ หรือ
ดีบ บลู ซี จากเรื่องราวความรักแบบชายกับชายของพวกเขาออกมาเป็นเรื่องราวระหว่างชายจริงหญิงแท้
มาสู่ละครที่มีคำหยาบคาย มีประเด็นการเมือง และการเปิดเผยทางเพศที่ชัดเจน เช่น บทละครเรื่อง หลูท ของ โจ ออร์ตัน
ละครที่มีเนื้อหาหนักขึ้นเกินกว่าจะเป็นละครตลกแบบเดิมในอดีต ของ เดวิด แอร์ เช่น เรื่อง เอมี่ส์ วิว ซึ่งสร้างชื่อเสียงอย่างมากให้จูดี้ เด้นช์ ทั้งในอังกฤษและอเมริกา
การตั้งโรงละครรอยัล เชคสเปียร์ โดย ปีเตอร์ ฮอล บนแสตรทฟอร์ท อะพอน เอวอน เพื่อศึกษาวิธีการแสดงละครเชคสเปียร์อย่างลึกซึ้งในขณะเดียวกันสามารถหาความหมายของมันในยุคสมัยของตน นี่เป็นเพียงแค่ไม่กี่เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ทศวรรษหลังสงครามโลก
จนถึงรัฐบาลมาร์การ์เร็ต แท็ตเชอร์ ที่ทำให้เรบเธียเตอร์ หรือโรงละครตามหัวเมืองใหญ่ๆล้มหายตายจากเพราะขาดทุนสนับสนุนจากรัฐบาล ตามมาด้วยสงครามเวียดนามที่มีวาเนซซา เรดเกรฟ เดินนำขบวนประท้วงต่อต้านจนเกิดการสลายการชุมนุมและจราจล นอกจากนี้หลังสงครามยังเป็นช่วงที่รัฐบาลอังกฤษถังแตก วิกฤตปากท้องทำให้กระแสสังคมนิยมมาแรง ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันส่งผลต่อศิลปะการละครและภาพยนตร์ด้วย ทำให้มันเป็นยุคที่อุดมสมบูรณ์ทางวัฒนธรรม
เพื่อให้เห็นความรุ่มรวยของฝั่งอังกฤษ หากมองไปทางฝั่งอเมริกา
“มองในทางเศรษฐกิจ ฉันคิดว่ามันถูกกำหนด และดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของชนชั้นกลางเท่านั้น ทำให้มันเต็มไปด้วยละครตลกและมิวสิคัล”
เคนเนธ ไทแนน นักวิจารณ์ละครและภาพยนตร์คนหนึ่งที่มีบทบาทมากที่สุดในยุคนั้น และเป็นผู้ช่วยโอลิเวียร์พัฒนาคณะละครของโรงละครแห่งชาติอังกฤษ กล่าว
“ความสมดุลกันระหว่างย่านอีสเอนด์(ย่านคนจนอยู่ทางตะวันออก)กับเวสเอนด์(ย่านคนรวยอยู่ทางตะวันตก) พอดีกันในลอนดอน สิบปีก่อนปารีสเคยเป็นแบบนี้ สิ่งใหม่ๆไม่ว่าจะเป็นงานเขียน ละคร ภาพยนตร์ เกิดขึ้นที่นั่น แต่นับจากสมัยประธานธิบดีเดอกอล มันเริ่มอนุรักษ์นิยมมากขึ้น อังกฤษในขณะนี้(ทศวรรษ 50–70) เป็นสังคมที่เปิดกว้าง ค่อนไปทางสังคมนิยม ใจกว้างกับเรื่องทางเพศ ทำให้สังคมนิยมกลายเป็นเรื่องที่น่าสนุกได้ ฉันไม่คิดว่าประเทศนี้ต้องอิจฉาใครแล้ว”
ด้วยความที่เดมทั้งสี่มีชีวิตวัยสาวถึงกลางคนอยู่ในอังกฤษในช่วง 1930–1970 เมื่อเราพูดถึง คำว่า “การแสดง” ความเจริญใจของการนั่งดูก็คือว่า คำว่า “การแสดง” น. สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่คำไวพจน์ของสแตนิลาฟสกี้ แอดเลอร์ ไมส์เนอร์ หรือสตาร์สเบิร์ก แบบการนั่งดูนักแสดงอเมริกันคุยกัน มันเป็นเรื่องของสไตล์ ของวัฒนธรรม และวิวัฒนาการทางสังคมของชุมชนนักการละครในอังกฤษ นอกจากการละครจะต้องแสวงหาความหมายใหม่ให้กับตัวเอง โดยการพัฒนาทั้งบทละคร วิธีการนำเสนอ และสไตล์การแสดงแล้ว การเกิดขึ้นของกล้องยังทำให้ภาพยนตร์เข้ามามีบทบาทอย่างมากในชุมชนนักการละคร
ความเจริญใจของการนั่งดูก็คือว่า คำว่า “การแสดง” น. สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่คำไวพจน์ของสแตนิลาฟสกี้ แอดเลอร์ ไมส์เนอร์ หรือสตาร์สเบิร์ก แบบการนั่งดูนักแสดงอเมริกันคุยกัน มันเป็นเรื่องของสไตล์ ของวัฒนธรรม และวิวัฒนาการทางสังคมของชุมชนนักการละครในอังกฤษ
“ฉันไม่คิดว่าฉันสวยพอจะเล่นเป็นคลีโอพัตรา”
นักแสดงทั้งสี่เห็นตรงกันเกี่ยวกับตัวเอง นั่นก็เพราะว่าในสมัยก่อนจริงๆนั้นผู้หญิงที่จะมาเล่นเป็น “ควีน” จะมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนเทพี แต่ “กล้อง” ทำให้ภาพในอุดมคติของนักแสดงหญิงเปลี่ยนไป ความสวยเริ่มเกิดความหมายใหม่ ในขณะเดียวกันบทละครก็ต้องการนักแสดงที่ต่างไปจากเดิม ผู้หญิงรูปร่างท้วมเล็กแบบจูดี้ เดนช์ ผู้หญิงผอมบางแบบแม็กกี้ สมิธ และเอลีน แอ็ทคินส์ ผู้หญิงที่หน้าตามัสคูลีนแบบ โจแอน โพลไรท์ จึงได้เกิด มิเชล แซง เดนิส เคยสบประมาทว่าโจแอน โพลไรท์
“เล่นเป็นควีนไม่ได้หรอกนะ”
แต่
“ในยุคนี้สิ่งสุดท้ายที่เราจะต้องการก็คือนักแสดงที่จะมาเล่นเป็นควีน”
จอร์จ เดวีน ตอบ
กล่าวได้ว่าเดมทั้งสี่มีชีวิตอยู่ถูกที่ถูกเวลา พวกเธออยู่ในช่วงเวลาที่สังคมเปิดกว้างและพร้อมรับไอเดียใหม่ๆมากกว่าที่จะยึดติดอยู่กับ
“ภาพในอุดมคติ”
แบบเดิมๆ
“คืนนั้นฉันเล่นให้เร็วขึ้น แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”
“โอลิเวียร์บอกฉันว่า เธอไม่จำเป็นต้องขึ้นบันไดไปก็ได้ แค่เข้าไปแล้วเปิดออกมาเลย คนดูไม่รู้สึกว่ามันปลอมหรอก มันเป็นแค่มายา”
“มันเป็นศิลปะ เธอก็แค่ต้องหาวิธีที่จะทำให้มันออกมาดูสมจริง คงไม่มีคนดูต้องการรู้สึกว่าเรากำลังเสแสร้ง”
“ฉันคิดว่าความจริงในแต่ละสมัยของการแสดงแตกต่างกันออกไป มันเหมือนแฟชัน”
ตลอดทั้งเรื่องที่ได้เห็นการแลกเปลี่ยนกันนี้ ไม่มีใครหมกมุ่นหรือบูชา “การแสดง” ผู้เขียนตั้งคำถามว่า
“ศิลปินการละครและภาพยนตร์ ก็เหมือนกับศิลปินแขนงอื่น เราใช้ชีวิต ตอบสนองต่อสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในสังคม และพยามเอางานของเราออกไปสู่ที่ที่จะถูกมองเห็น เพื่อได้รับการยอมรับใช่หรือไม่?”
และ
“ความสำเร็จของศิลปินการละครและภาพยนตร์คนหนึ่ง นอกจากจะเป็นเรื่องของความพยายามส่วนตนในการต่อสู้กับภาพอุดมคติของสังคมแล้ว ก็ยังขึ้นอยู่กับอย่างอื่นด้วย เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ยุคสมัย สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้คนในสังคมซึ่งก็คือผู้ชมของเรามีวิธีการมองเห็นโลกอย่างไร และมีภาพในอุดมคติแบบไหน?”
ในตอนท้ายเรื่อง หนังถามเดมทั้งสี่ว่ามีคำปรึกษาอะไรให้กับคนหนุ่มสาว พวกเธอตอบอะไรง่ายๆ เช่น ในตอนสาวฉันจะดูแลร่างกายให้ดีกว่านี้ อย่าจริงจังมากไปกับชีวิต และหากลังเลใจกับอะไร อย่าพึ่งลงมือทำ
บางทีความจริงอาจไม่ใช่เรื่องน่าเศร้าราวละครโศกนาฏกรรม แต่คืออะไรที่ธรรมดา สิ่งที่น่าสนใจกว่าการนั่งมองผู้หญิงเพียบพร้อมเล่นเป็นราชินี คือการนั่งมองยายแก่ทั่วๆไปสี่คนเล่าชีวิตที่น่าจะพิเศษกว่าชาวบ้านในสายตาคนอื่นออกมาแบบไม่มีอะไรพิเศษและตัวพวกเธอเองก็เป็นเพียงตัวประกอบคนหนึ่งในภาพใหญ่