รีวิวละครเรื่อง มนต์รักทรานซิสเตอร์ (ธีรพันธ์, กรุงเทพฯ, 2022)
มนต์รักทรานซิสเตอร์: ?
.
ได้ยินว่ามีคนจะเอา “มนต์รักทรานซิสเตอร์” มาทำละครเวทีมาสักพัก สักพักที่ว่านั้นเผลอแปปเดียวก็เกือบสองปีเห็นจะได้ โดยเฉพาะเป็นสองปีที่ผ่านมานี้น่าจะเปลี่ยนชีวิตคนไปมาก เช่นเดียวกับละครเวทีที่บางคนก็เลิกทำ บางคนย้ายประเทศไปแล้ว ทุกคนเอาตัวรอด บรรยากาศสังคมเปลี่ยนไปมาก เชคเสปียร์ชอบเล่าชะตากรรมของคนทั่วไปให้เป็นละครตลก วัฒน์ วรรลยางกูรเองก็ประพันธ์เรื่องนี้ให้ชวนหัวแต่สีสันของเรื่องไม่ได้บดบังประเด็นที่เขาต้องการจะพูด ในงานกำกับละครเวทีเรื่องแรกของธีรพันธ์เรื่องนี้ เหมือนเขาเอากระจกเงาตั้งไว้ที่ไร่นาในชนบท แล้วหวังว่าจะให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเช่น คนดู คนทำ คนเล่น ได้ส่องเห็นเงาตัวเอง แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องยืนอยู่ที่กรุงเทพมหานคร
.
นี่คือเรื่องราวของไอ้แผน ชายต้นวัยที่มีความฝันอยากเป็นนักร้องแบบสุรพล และพึ่งแต่งงานมีเมียและลูกเล็กๆ แต่จับได้ใบแดงจึงต้องไปเป็นทหารเกณฑ์ หลักจากประกวดร้องเพลงได้ที่สอง ไอ้แผนหนีทหารตามเสี่ยเจ้าของวงดนตรีไปแบกของหวังจะเป็นนักร้องสักวัน แต่ก็ซวยจนต้องออกจากวงไปรับจ้างทำไร่ แล้วก็ซวยซ้ำซวยซ้อนจนต้องไปติดคุก ไอ้แผนไม่เคยได้มีชีวิตในแบบที่ฝัน
.
ละครเวทีเรื่องมนต์รักทรานซิสเตอร์นี้พยามนำเสนอความพังพินาศของชีวิตคนจนๆแบบไอ้แผน มันสำรวจดูว่าคนด้อยอำนาจวาสนา ไม่มีเงินและไม่มีสถานะทางสังคมมาเกื้อหนุนนั้นจะสามารถเอาชนะชะตากรรมของตัวเองได้อย่างไรหากถึงคราวซวย ซึ่งมันก็ตอบว่าไม่ได้ ผ่านความฉิบหายที่เลวร้ายลงเรื่อยๆแบบไอ้แผนและคนรอบข้างเขาต้องเผชิญ
.
แต่ความพังต่างๆของละครเรื่องนี้ไม่ได้หยุดอยู่ที่ความพังในเรื่องราวชีวิตของตัวละครเท่านั้น ความมืดมนอยู่ในแสงที่นึกจะมืดไปก็มืดสนิท มืดทีก็มืดนานจนนึกว่ากำลังจะพักครึ่งหรือจบเรื่องไปแล้ว และนึกจะเปลี่ยนสีก็เปลี่ยนโดดไปมาจนน่าเวียนหัว ในระหว่างที่มันมืดนานอยู่นั้นก็นึกถึง “พีระมิดระบบทุนนิยม” (the Pyramid of Capitalism) ขึ้นมา เพราะแคปชัน “We feed all and we work for all” ของพีระมิดชั้นล่างสุดซึ่งคือกรรมกรทั้งหลายดูคล้ายกันกับการวางบทบาทนักแสดงเรื่องนี้ที่นักแสดงสมทบ (เช่น สายฟ้า และสกาว) ถูกใช้ให้เล่นเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง และให้พวกเขาช่วยด้นสดบ้างเพื่ออุดความเงียบและความไม่ลงตัวต่างๆ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำได้ดีแต่งานมันหนัก ยาก และเหนื่อยเกินขอบเขตของนักแสดง
.
ในมิติของการแสดงแล้ว ไม่มีอะไรจะน่าขัดใจไปกว่าน้ำตาของนางเอก เพราะตัวละครเหล่านี้มันสู้ มันจึงไม่น่าเชื่อและหลุดจากบริบทอย่างยิ่งที่จะต้องนั่งดูสะเดามันฟูมฟายและแสดงออกมาอย่างอ่อนแอขนาดนั้น ในฉากสุดท้ายเมื่อไฟดับลง(ดับจริงๆเสียที) คำถามที่ดังแหวกความมืดออกมาก็คือ แผนมันรู้สึกนึกคิดอย่างไรกันแน่? ความไม่ชัดเจนในการแสดงของแผนสะท้อนความสับสนของงานนี้ได้เป็นอย่างดี แผนกับสะเดาดูจะเป็นตัวละครที่สูงส่งกว่าตัวอื่น เหมือนเป็นฮีโร่ในทราจิดี้ ทั้งๆที่มันก็ชาวบ้านด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม นักแสดงไม่สามารถเข้าถึงมนุษยภาพของชาวบ้านสองคนนี้ได้
.
ความน่าสับสนที่สำคัญก็คือวิทยุทรานซิสเตอร์ เมื่อชื่อเรื่องเองก็คือมนต์รักทรานซิสเตอร์ ละครเริ่มประมาณหนึ่งทุ่มวิทยุทรานซิสเตอร์ปรากฏก็ปาไปเกือบสองทุ่มเพราะมัวแต่ประกอบสร้างรักระหว่างแผนกับสะเดาอยู่นานแสนนานทั้งๆที่ใช้เวลาสิบนาทีก็น่าจะเสร็จ เสียงจากวิทยุเครื่องนั้นน่าจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินเรื่องได้มากกว่านี้มาก คำถามที่ว่าอะไรที่ครอบงำหรือกดขี่ชีวิตตัวละครเหล่านั้นควรจะออกมาจากวิทยุ ไม่ใช่ดนตรีสด วิทยุควรจะช่วยให้คนดูได้รับรู้เวลาที่ดำเนินไปอย่างชัดเจนเพราะเรื่องกินเวลาในโลกของเรื่องค่อนข้างยาวนาน วิทยุควรจะทออยู่ไปกับเรื่อง ตั้งแต่เริ่มเรื่องจนจบเรื่องอย่างเป็นเนื้อเดียวกันกับละคร ไม่ใช่โผล่มาแบบต้องมีอย่างเสียไม่ได้
.
ตัวบทละครเองเช่นกัน มันเป็นการเล่าไปตามที่วัฒน์ วรรลยางกูร เล่ามากกว่าที่มันจะเป็นบทสนทนากันระหว่างวัฒน์และคนเขียนบทเรื่องนี้ มันไม่ได้สะท้อนอะไรอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับศิลปินเจ้าของงาน เหมือนการเล่นดนตรีไปตามโน๊ตของมันโดยไม่ได้ใส่อินเตอพรีเตชันใดๆลงไปเลย แทนที่แต่ละฉากจะเล่าไปตามเรื่องของมัน สิ่งที่มีค่าที่สุดกับงานชิ้นนี้ มากกว่าฉากเพลง หรือองค์ประกอบอื่นๆ ก็คือการที่คนเขียนจะยอมขบคิดมุมมองส่วนตัวของเขา(ที่อาจจะมีแง่มุมต่างจากของวัฒน์ก็ได้)ออกมาให้เราได้ฟังอย่างจริงจังจนสามารถจะส่องจะสะท้อนอะไรได้จริงๆ