รีวิวการแสดง “ฉันเกิดมาในรัชอาวเว่อร์ฯ” (A Play in Progress, Fullfat, Bangkok 2022): จุดเริ่มต้นที่สิงคลิ้ง
ผู้เขียนเริ่มดูงานของฟูลแฟ็ตครั้งแรกตั้งแต่ชิ้นที่ Warehouse 30 ยังไม่เปิด (ประมาณปี 2017–2018) และอีกชิ้นที่ห้องเล็กๆบนโรงละครสยามพิฆเนศ (แถวๆ 2017–2018 เช่นกัน ถ้าจำไม่ผิด) คุณนพพันธ์มีวิธีนำเสนอที่ชัดและเฉพาะจนโดนใจนักเรียนละครและเยาวชนโบฮีเมียนหลายคนให้เข้าร่วมกับฟูลแฟ็ตในตอนนั้นและน่าจะจนถึงตอนนี้ แต่ชิ้นล่าสุดเมื่อประมาณปีหรือสองปีก่อนที่ใช้พื้นที่หลังโรงละครของสยามพิฆเนศเป็นชิ้นที่ยุ่งเหยิงจนน่าปวดหัวและชวนเข็ดขยาดเป็นที่สุด มาวันนี้ฉันเดินเข้าไปในพื้นที่หน้าโนเบิลเพลินจิต คอนโดหรูถ้าไม่หรูที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ
“ฉันคิดว่าพื้นที่มีผลต่องานของฟูลแฟ็ตมาก”
และจะมีที่ไหนเหมาะไปกว่าที่นี่นักถ้าจะพูดเรื่องคนกรุงเทพฯ ฉันคุยกับเพื่อนในร้าน Toby’s ข้างๆพื้นที่ที่ฟูลแฟ็ตจัดแสดงเรื่อง
“การแสดงชุด Play In Progress 10 เรื่อง 10 สัปดาห์ การแสดงที่จะชวนคุณไปค้นหาความเป็นมนุษย์กรุงเทพพร้อมกับพวกเรา ผ่านแง่มุมที่ต่างกันตลอด 10 สัปดาห์”
ชะโงกมองเข้าไปในพื้นที่ที่ทำการแสดงเห็นคนดูในรอบก่อนหน้าดูติดใจคุยกันแจ้ เป็นสัญญาณที่ดี
สำหรับงานชิ้นนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสัปดาห์นี้ ผู้เขียนสนใจในตีม
“เรื่องที่ 3: โฟกัสเรื่องราวของคนรุ่นใหม่ที่จบมาทางด้านการแสดง / ละคร / นิเทศ”
ชื่อการแสดง:
“ฉันเกิดมาในรัชอาวเว่อร์แห่งการพยายามบาลานซ์การงานการเงินความรักครอบครัวสุขภาพ — ทำไมเป็นผู้ใหญ่มันถึงยากขนาดนี้?”
เป็นอย่างยิ่ง มันเฉพาะเจาะจงเลยว่าฉันจะคุยเรื่องของคนที่จบละคร ไม่ใช่บัญชี นิติ หรือวิศวะ เมื่อนักแสดงเข้าสู่พื้นที่ทำการแสดง โต๊ะขนาดยาวปูผ้า และมีปากกาวางไว้ พวกเขาเอาผ้าปิดตา เปิดเพลงย้อมใจ แล้วเอาปากกาเขียนสิ่งที่อยู่ในใจของพวกเขา
ลอกจากที่เห็นคำต่อคำ:
เห็นตัวเองเป็นอย่างไรในอีกห้าปีข้างหน้า?: “เราคงอายุ 27 ปี ตอนนั้นคงมีบ้านรถ มีแฟน แล้วก็น่าจะเป็นผู้ช่วย director ของ art gallery ที่ไหนสักที ใน Australia มั้ง? มั่นใจว่าไม่กลับมาทำงานที่นี่แล้ว”
ถ้าเงินไม่สำคัญยังจะทำงานที่ทำอยู่มั๊ย?: “เราไม่ชอบโลกทุนนิยมเลย มันจำกัดให้เราต้องทำอะไรที่ไม่ชอบ แตตอนนี้คงโชคดี ที่ ยัง ได้ทำสิ่งที่ชอบอยู่แบบไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินเลยจริงๆ เราเป็นพวกชอบฝัน เราก็คงทำอยู่ดี ตลกว่ะ”
“อยากเป็นคนที่ทุกคนให้ความรัก
อยากเป็นคนที่ถูกมองว่ามีความสุข
บางครั้ง มันก็ฝืน”
ผู้เขียนชอบขณะเหล่านี้เป็นพิเศษ เพราะว่ามันโสภณ มันพอดีไปหมด ทุกขยับคือทุกขยับ ทุกคำคือทุกคำ ไม่เกินเลย มากนิด น้อยหน่อย มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่พอดี ทำให้การแสดงมันคล่องแคล่วพอจะปราดปรี่เข้ามาในใจคนดูได้ ซึ่งก็คือคนรุ่นๆเดียวกันโตกว่าไม่มาก เห็นบางคนเข้าไปอ่านพลางมือทาบอกข้างซ้ายพลาง การอ่านถ้อยคำเหล่านั้นมันเสียวใจจริง กล่าวได้ว่าโชว์ชิ้นนี้ได้ผลิตชั่วขณะที่น่าสนใจที่สุดที่เคยเห็นจากฟูลแฟ็ต
แต่ “ละครอยู่ระหว่างดำเนินการสร้าง” เรื่องนี้เหมือนจุดเทียนกลางสายฝน เพราะเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว มันทำวนซ้ำอยู่อย่างนั้น พายเรือในอ่างไม่ไปไหน จนไฟที่จุดติดแล้วค่อยๆริบหรี่จนดับลง ก่อนอื่น เราต้องไม่สับสนระหว่างหัวข้อของเรื่อง กับเนื้อหาของเรื่อง
“ชีวิตของคนกรุงเทพ: เด็กละคร — นิเทศ” คือหัวข้อของเรื่อง
แต่เนื้อหาของเรื่อง “คำถามเกี่ยวกับการเรียน การงาน ครอบครัว สภาพแวดล้อม คุณภาพชีวิต ความฝัน ความกลัว ความสัมพันธ์และอนาคตที่อยากมีของพวกเขา”
ยังคงต้องการความไม่ทั่วไปและกล้าที่จะหายเข้าไปในประเด็นเหล่านั้น เพื่อให้มันตอบคำถามของประเด็นที่หยิบมา เกิดสีสัน เปลี่ยนแปลง และมุ่งไปข้างหน้า หรือการสำรวจในด้านตรงข้ามกัน เช่น แล้วถ้ามันบอกว่ามันไม่มีความฝันบ้างหละ? แล้วถ้ามันหันมาสนแต่เงินบ้างหละ? นักแสดงจะเขียนมันออกมาอย่างไรบ้าง? เมื่อเลยครึ่งชั่วโมงกว่าคนดูจึงเริ่มถอยออกมาจมลงไปในเก้าอี้ มองฝันที่ตกอยู่ข้างนอก มีหนักขึ้น เบาลง มีเรื่องราวของรถ ของคนที่เดินไปมาตามสกายวอล์คซึ่งน่าสนใจกว่า
ชั่วหรือดีก็ตาม มันไม่ใช่ความหาทำ แบบไม่มีอะไรจะทำแล้ว มันเป็นงานที่มีความคิด มันไม่ใช่การล้ำเส้น สั่งสอน จูงใจใดๆคนดู แค่เปิดให้เราได้มอง มันเป็นการแต่งงานระหว่างสุนทรียารมณ์ของพื้นที่กับวัตถุดิบที่มีอยู่ให้เป็นสิ่งที่แตะโดนใจ และอวัยวะภายในอื่นๆ แต่ก็น่าเบื่อและซ้ำซากไม่ต่างกับชีวิตสมัยใหม่ที่มันชวนมอง แต่หากจะต้องเลือกพัฒนางานจากชิ้นส่วนไปเป็นชิ้นที่มีพลวัตและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่สิงคลิ้ง