รีวิว ละครเรื่อง CLOSER ของ แพททริก มาร์เบอร์ (Life Theatre, Bangkok, 2022)
ความคิดบางอย่างเกี่ยวกับ แพททริก มาร์เบอร์
“ผมชอบเขียนถึงตัวละครนิสัยน่ารังเกียจ เพราะมันสนุก” แพทริก มาร์เบอร์กล่าวในมาสเตอร์คลาสที่ลอนดอนฟิล์มสกูลในปี 2019 มาร์เบอร์มาเพราะเป็นเพื่อนกับโจนาธาน หัวหน้าภาควิชาการเขียนบทภาพยนตร์ที่นั่น บัณฑิตอ็อกซ์ฟอร์ดเหล่านี้เรียนวรรณกรรมอังกฤษจนเข้าใจสังคมของพวกเขาดีพอที่จะหากินกับการเขียนถึงสังคมที่พวกเขาอยู่อย่างน่าสนใจได้ และเมื่อพูดถึง Closer ฉบับภาพยนตร์ เขาเล่าว่า “จูเลีย โรเบิร์ต นั้นไมค์ นิโคลส์ (ผู้กำกับฉบับภาพยนตร์) เลือกมาเล่นเพราะตรงใจเขามากที่สุด จู๊ด ลอว์ เป็นเฟิร์สช๊อยส์ที่ถ้าถามว่าใครเล่นเป็นแดนดีก็จะเป็นชื่อแรกที่ทุกคนพูดถึง ส่วน ไคลฟ์ โอเวน นั้น เป็นนักแสดงที่มาร์เบอร์ชอบฝีมือเป็นการส่วนตัวและเคยกำกับด้วยตัวเองมาก่อนจึงดึงตัวมาเล่นเป็นแลรี่” (ส่วนนาตาลี พอร์ทแมนนั้นจำไม่ได้ว่าเพราะอะไร)
“ผมเขียนตามใบสั่งเสมอ” คือคำตอบของมาร์เบอร์ เมื่อถูกถามถึงไสตล์การเขียนของเขา ความปะปนกันระหว่างโศกนาฏกรรมและหรรษนาฏกรรมในบทที่เขาเขียนทำให้เราอยากจะหัวเราะและร้องไห้สลับกันไป โดยยากจะแบ่งว่างานของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ เขากล่าวต่อว่า “ผมโชคดีที่ไม่เคยต้องเขียนงานไปเสนอใคร คนบอกให้ผมเขียนเพราะเขาชอบสไตล์ของผมอยู่แล้ว” เขาช่างโชคดีเสียจริงๆ
แพทริก มาร์เบอร์ตัวจริงนั้นเหมือนบทละคร Closer ที่เดินได้ เขาตลก อบอุ่น และบอกว่า “ผมเป็นคนหลงตัวเอง” รู้สึกว่าความตรงไปตรงมาและสบายใจที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองคิดอย่างสนุกสนานและวิจารณ์ตัวเองอย่างมีความสุขคือสิ่งที่ทำให้แพทริก มาร์เบอร์ น่าสนใจ เราเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เขาจะจิกกัดเสียดสีตัวเองให้เราฟังอีก และคือสิ่งเดียวกันที่ทำให้ Closer สนุก ความทรงจำนี้ผุดขึ้นมาระหว่างพักครึ่งขณะที่ผู้เขียนออกมาเข้าห้องน้ำและนั่งรำพึงกับตัวเองว่ามันไม่สนุก และนึกว่าจริงๆมันน่าจะเป็นอย่างไร
Closer 2022 by Life Theatre
เมื่อมานั่งดูโปรดักชันของ Life Theatre ในปี 2022 รู้สึกว่ายิ่งดูก็ยิ่งหลุดลอยออกจากโรงละครไปเรื่อยๆ ลอยไปไหนต่อไหน ไกลแสนไกล เหมือนนักแสดงบนเวทีคนหนึ่งที่ขนาดคู่เล่นทำน้ำหกต่อหน้าต่อตาคนทั้งโรงก็ยังไม่รู้เรื่องเหมือนตกอยู่ในภวังค์ เมื่อชื่อเรื่องแปลว่า ใกล้อีก ใกล้กว่า แต่ละครให้ความรู้สึกว่าห่างไกลจนเข้าไม่ถึง
มันเป็นเรื่องของชายหนุ่มชื่อแดนที่พาอลิซนางระบำโป๊ไปเจอคุณหมอแลรี่ แดนกับอลิซจีบกัน ก่อนที่แอนนาช่างภาพหญิงจะเข้ามามีบทบาทในเรื่อง แล้วก็เดาได้ไม่ยากว่าตัวละครทั้งสี่จะมีความสัมพันธ์คาบเกี่ยวกัน หลับนอนด้วยกัน โกหกพกลมกัน ทำรายกันและกัน หึงกัน อิจฉากัน แก้แค้นกัน เอาชนะกัน ตามปกติวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป ไปจนถึงจุดลงเอยที่น่าสนใจของเรื่องนี้ ละครเรื่องนี้พาเราไปดูว่าความรักและเซ็กส์นั้นมันทำอะไรกับชีวิตเราได้บ้าง
แต่มาร์เบอร์นำเสนอเรื่องนี้ผ่านบริบทสังคมอังกฤษ ความห่างเหินทั้งในทางภูมิศาสตร์ ภาษา และประเพณีที่ละครถูกใช้แสดงจึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะทำให้เรื่อง Closer เข้ามา “ใกล้” กับชีวิตคนไทยพอที่จะแปลบทออกมาให้มันพร้อมทำงานกับนักแสดงและคนดูได้โดยง่าย “ใกล้” กับนักแสดงเพียงพอที่พวกเขาจะแสดง และ “ใกล้” กับคนดูเพียงพอที่พวกเขาจะเข้าใจ เช่น ขนมปังตัดขอบ หรือความหมายที่เฉพาะเจาะจงของแอปเปิ้ลสีเขียวกับแดง
ด้วยความที่ละครพึ่งพาบทอย่างมากในการเดินเรื่อง นักแสดงจึงต้องรับมือกับหลายอย่างจนพลาดการนำเสนอในจังหวะสำคัญๆบ่อยๆ เพราะละครที่เดินเรื่องด้วยถ้อยคำนั้นไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของนักแสดงไทยอยู่แล้ว อาชีพนักแสดงในไทย เมื่อพูดถึงประเพณีการแสดง มันคือการจำบท เตรียมอารมณ์ และเข้าไปอยู่หน้ากล้อง มันไม่ได้ต้องการทักษะในการทำงานกับคนดู มันไม่ต้องการความคล่องแคล่วของเสียง หรือความยืดหยุ่นของการเคลื่อนไหวที่มากมายอะไร ซึ่งอาจไม่ใช่สิ่งที่ฝึกฝนได้ภายในวันสองวัน มันไม่ได้เข้มงวดกับความเป็นวรรณกรรมของบท นอกจากนี้ เวลาที่นักแสดงพูดว่า “พรมที่สนามบินฮีทโทรวมันสีเหี้ยอะไรไม่รู้” นั้น ปฏิกิริยาที่ไลน์นั้นจะทำงานกับนักแสดง มันต่างกันเมื่อพูดที่โรงละครในลอนดอน หรือในนิวยอร์ค กับพูดที่โรงละครในกรุงเทพฯ ณ ที่หนึ่งมันอาจจะลงตัวพอดิบพอดีและไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติม แต่ ณ อีกมุมหนึ่งของโลกมันอาจต้องการจินตนาการเพิ่มเติมอย่างมากจากทั้งคนเล่นและคนดู
ยิ่งไปกว่านั้นบทเรื่องนี้ยังยืมเอาการเขียนแบบไฮเท่นคอมเมดี้มาใช้ด้วย เช่น กำลังดิ่งอยู่กับเรื่องหนึ่ง ตัวละครก็มองไปเห็นหรือเกิดความคิดอีกอย่างหนึ่งจนโพล่งออกมา ซึ่งต้องการให้นักแสดงค่อยๆเปลี่ยนความรู้สึกข้างในภายในระยะเวลาไม่กี่วินาทีซึ่งทำได้ยากมากเช่นกัน และนักแสดงก็ยังทำกันไม่ค่อยได้ ความสนุกที่สุดของเรื่องนี้จึงหายไปจากการที่นักแสดงมีหลายอย่างที่ต้องจัดการมากเกินไป ในฐานะนักแสดงของเรื่องนี้พวกเขาน่าจะได้เอนจอยกับการทำให้อีกคนหนึ่งเจ็บและตัวเค้าเองก็มีความสุขกับการถูกคนอื่นในเรื่องทำร้ายเช่นเดียวกัน พูดง่ายๆว่าตัวละครพวกนี้จริงๆแล้วมัน “ชั่วๆหน่อย” แม้ว่าในบางครั้งคุณแลรี่จะทำให้ซีนสนุกขึ้นมาบ้าง หรืออลิซซึ่งเล่นกับเสียงและร่างกายของตัวเองได้ดีกว่าคนอื่นจะช่วยให้ต้องจ้องมองในบางตอนขึ้นมาได้ แต่โดยรวมๆแล้วความสุภาพ สำรวม สงบเสงี่ยมของนักแสดงคือความเจ็บป่วยของละครเรื่องนี้ซึ่งมันน่าสนใจเหมือนกันว่ายารักษาอาการนี้คืออะไร? มันคือการชั่วให้ได้เท่าสิ่งที่คนเขียนนำเสนอ? หรือมันคือกำแพงภาษาและบริบทต่างๆที่มัดเราทุกคนในโรงละครเอาไว้?