รีวิว การแสดง “NOWHERELAND: THE EDEN” (รอบโปรโตไทป์, หอศิลป์กรุงเทพฯ, 2022)
NOWHERE LAND: THE EDEN — ปัจจุบันหน้าตาเป็นอย่างไร?
หลายปีก่อน(นานแล้ว)ผู้เขียนเคยเดินเข้าไปใน “Nowhereland” ของคุณเรโอ บทละครเรื่อง “ทฤษฎีไม้ยมก” ของเขา มันพาเราเข้าไปใกล้บางพื้นที่ในใจซึ่งมีความจริงของชีวิตในเวลานั้นอยู่ และเปลี่ยนมุมมองที่ผู้เขียนใช้มองโลกไปพอสมควร ในโปรเจ็กต์ใหม่เรื่อง “Nowhereland” ของเขา “พี่เรโอ” ยังเล่นกับความรู้สึกนึกคิดเช่นเคย และเป็นสิ่งที่ทำให้งานของเขาน่าสนใจ เขาทำงานร่วมกันกับคุณปาร์ตี้ ผู้กำกับที่เรียนจบการกำกับละครเวทีจาก LAMDA จึงเป็นการรวมตัวกันที่น่าตื่นเต้นมากจนอยากลองเดินเข้าไปสำรวจดู โดยเฉพาะเมื่อได้รับโอกาสเข้าชมรอบต้นแบบก่อนเปิดการแสดงจริงยิ่งไม่พลาด
เราถูกนำเข้าไปสู่โรงละคร ในโครงฉากสีขาวเต็มไปด้วยประตู นักแสดงยืนเป็นวงกลมมองไปบนโคมไฟที่แขวนไว้ด้านบน พวกเขาพูดไลน์ต่อกันไปเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ครึ่งจริงครึ่งฝัน เบลอ บ่นเหมือนแฮมเล็ตกำลังสนทนากับตัวเองเรื่องชีวิต ความฝัน และความตาย ก่อนที่พวกเขาจะสลายกันเข้าไปซ่อนอยู่หลังประตูแต่ละบาน ประตูแต่ละบานก็ปิดสนิทแต่เชื้อเชิญให้เราอยากจะเปิดออก กึ่งกล้ากึ่งกลัวเข้าไปพบกับสิ่งที่เราไม่รู้ว่าคืออะไรที่รออยู่ให้ได้ค้นพบ
ในแต่ละห้องคือโลกของนักแสดงแต่ละคน พวกเขาดูหลงทาง คำถามเช่น
“ทำไมเค้าดูกล้าตัดสินใจจัง?”
“ทำไมเขาทำในสิ่งที่รักแล้วยังอยู่รอดในสังคมได้?”
“ทำไมเขามีความสุขกับชีวิตของเขา?”
“ความฝันของเราคืออะไร?”
“เราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีศรัทธาในอะไรเลยอย่างไรหรือ?”
ถูกถามโดยนักแสดงแต่ละคน พวกเขามีทราย ขวดซีอิ๊ว โทรทัศน์ เสื่อโยคะ ลูกตุ้มน้ำหนัก ถังสี และผ้า ช่วยสำรวจคำถามของพวกเขา พวกเขาเริ่มถามคำถามเหล่านั้นกับคนดูด้วย
แต่ไม่จนกระทั่งเมื่อคนดูเริ่มเคยชินและสนทนากับนักแสดง การค้นหาคำตอบจริงๆจึงเริ่มเกิดขึ้น ดูเหมือนละครได้พบกับนักแสดงคนสุดท้ายของเรื่องนั่นก็คือ “คนดู” แต่บทสนทนาก็เป็นเพียงพื้นผิวของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นลึกลงไปใต้ผิวหนังและเลือดเนื้อของพวกเขา
“คุณดูหลงทางนะ” นักแสดงหญิงถาม
“ใช่ฉันกำลังหลงทาง” ฉันตอบ
“โอ้ไม่” เธอตอบ
เธอพยามพูดคุยกับผู้เขียนอย่างเห็นอกเห็นใจ และบอกให้ทำอะไรที่จะทำให้รู้สึกดีขึ้น เช่น ร้องเพลง เต้นรำ ทำสมาธิ และอย่างอื่นๆที่มันฮิปปี้ๆ และในที่สุดเธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเซลฟี่นี้ลงอินสตาแกรม พร้อมติดแฮชแท็กในแคปชันว่า “#befree #beyou #youareworthit”
เมื่อบรรยากาศของพื้นที่นั้น “ได้ที่” ผู้เขียนรู้สึกยากที่จะต้านทานไม่ตอบโต้กับนักแสดง บางสิ่งบางอย่างในเนื้อในตัวของเราตอบสนองกับคนอื่นๆในพื้นที่นั้น “พี่เรโอ” เข้ามาสัมผัสความจริงบางอย่างในใจของเราอีกครั้ง แต่คราวนี้แตะได้ไม่ลึกซึ้งเท่าเมื่อหลายปีก่อน อาจเป็นเพราะคราวที่แล้วผู้เขียนได้ทำงานกับงานของเขาในฐานะนักแสดง แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคราวนี้ บางสิ่งบางอย่างมันหายไป หรือขาดไปจากงานของเขา งานนี้ยังคงเล่นกับสัญชาตญาณข้างในเรา แต่มันไม่มีการทำงานในเชิงวิภาษวิธี
งานชิ้นนี้ไม่ได้กำลังจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเราแต่เพียงอย่างเดียว แม้มันจะเป็นเช่นนั้น และไม่ใช่แค่เพียงการผสมผสานการละครเข้ากับทฤษฎีทางจิตวิทยาด้วย สิ่งที่มันต้องเผชิญก็คือระยะห่างระหว่างความเข้าใจต่อเรื่องของคนสร้างงานกับคนเล่น คนเล่นกับคนเล่น คนเล่นกับคนดู และคนดูกับคนสร้างงาน มันมีช่องว่างระหว่างสิ่งเหล่านี้และมันขาดวิธีคิดที่ชัดเจนในใจกลางงาน มันทำให้นึกถึง
“เมื่อนักแสดงและคนเขียนบท ต้องการบทเรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาสร้างมันโดยการรวมกลุ่มกันและใช้วิธีด้นสด และกระบวนการสร้างต่างๆที่ปราศจากผู้เขียน การสร้างงานกันเป็นกลุ่มอาจจะให้อะไรที่สมบูรณ์กว่ามาก หากกลุ่มผู้สร้างงานมีความสมบูรณ์พร้อม มันย่อมดีกว่างานที่มีคนเขียนเพียงคนเดียว แต่มันไม่ได้พิสูจน์อะไรทั้งสิ้น ที่สุดแล้วเรายังต้องการผู้เขียนเพื่อให้งานไปถึงจุดที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ซึ่งการสร้างงานกลุ่มไม่ใช่วิธีที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้”
ที่ ปีเตอร์ บรูก เขียนไว้ใน “พื้นที่ว่าง” แม้บรูกจะบอกว่าแม้การมีผู้เขียนจะทำให้งานมีความเป็นเอกภาพ แต่งานก็มักจะถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่นักเขียนเห็น คิด และรู้สึกได้เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องมีสคริปต์ ระยะห่างระหว่างผู้เขียนบทกับเรื่องที่เขาเลือกเขียนและสิ่งที่เขาต้องการตั้งคำถามนั้นน่าจะจับต้องได้และชัดเจนกว่านี้มาก แต่ในงานนี้เราไม่มีโครงสร้างแบบนั้นให้ทำงานด้วย นักแสดงกับคนดูหรือใครก็ตามที่แสดงความคิดเห็นบนฉากจึงกลายเป็นคนเขียนบท และมันสามารถจะไหลไปไหนมาไหนได้เรื่อยๆโดยไม่มีทิศทางที่ชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละห้องและแต่ละวงของนักแสดงกับคนดูก็ต่างกันไป และความสนใจต่อประเด็นหลักของเรื่องของนักแสดงแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามตัวแปรมากมายเช่นกัน เช่น ความเข้าใจโลกและมุมมองต่อโลกของแต่ละคน ประสบการณ์ชีวิตที่ประกอบสร้างเป็นแต่ละคน เครื่องมือและเทคนิกทางการแสดงที่พวกเขาเลือกใช้ คนดูแต่ละคนในแต่ละรอบที่ปฏิสัมพันธ์กับนักแสดง
แม้ว่าผู้ชมจะมีส่วนร่วมกับละครอยู่ตลอดเวลาด้วยแนวคิดของการแสดงที่ถูกออกแบบมาแล้ว และขอบเขตระหว่างนักแสดงกับคนดูก็ “เบลอ” จริงๆ แบบที่พูดไว้ในสปอทโฆษณาของละคร แต่สิ่งที่ “เบลอ” ด้วยเช่นกันก็คือประเด็นที่การแสดงต้องการจะให้ “ความสนใจ” อะไรกันแน่คือสิ่งที่ศิลปินตั้งใจจะทำให้กระจ่าง วิพากวิจารณ์ ยังคงไม่ชัดเจนนัก งานนี้เป็นงานที่ปฏิเสธการเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรง ซึ่งผู้เขียนแอบคิดเหมือนกันว่านักบำบัดจะสามารถปฏิเสธสิ่งเดียวกันได้หรือไม่ในการทำงานกับผู้เข้ารับการบำบัด ผู้เขียนพอจะเข้าใจได้ว่าละครต้องการสำรวจการเดินหลงทางไปในใจ และทำให้เรารู้สึกว่าคนอื่นๆก็กำลังหลงทางเช่นกันกับเรา แต่เหมือนเข็มทิศที่ไม่มีทิศเหนือ ผู้เขียนยังตั้งคำถามว่า “ปัจจุบัน” ที่การแสดงต้องการพาเรากลับมาหาในตอนจบเรื่องนั้นมันเป็นอย่างไร? ผู้เขียนอยากหาคำตอบเพิ่มเติมด้วยการไปอีกครั้งในวันเปิดการแสดงจริง
(รีวิวนี้ถูกแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์เท่าฉบับภาษาอังกฤษในวันที่ 16 ก.ย. 2565)