รวมรีวิว ก.ย. — ต.ค. 2024

Radtai Lokutarapol
6 min readOct 29, 2024

--

Journal ส่วนตัวสองฉบับ กับรีวิวหนัง นิทรรศการศิลปะ และละครเวที

นั่งอ่าน Journal ส่วนตัวสองฉบับ กับรีวิวหนัง นิทรรศการศิลปะ และละครเวที ในช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนผ่านมาได้เกือบสองเดือนแล้ว แล้วรู้สึกว่าความรู้สึกนึกคิดของตัวเองผูกพันอยู่กับสองอย่าง คือ การตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ของความรักซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนที่จะเดินทางมาลอนดอน และความสนใจที่จะปฏิเสธศิลปะที่ทำไปเพื่อการเมืองแต่อย่างเดียวโดยไม่ได้รวมเอาชีวิตจริงของคนในปัจจุบันเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของงาน

ในช่วงนี้มีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสองอย่าง อย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่โลกปรากฏต่อเรา อีกอย่างเป็นพลวัตที่เปลี่ยนไปในจิตใจของตัวเอง

อย่างแรกคือ การได้รางวัลโนเบลของนักเขียนชาวเกาหลี Han Kang ซึ่งยิ่งช่วยปฏิเสธศิลปะเพื่อการเมืองอย่างแรงกล้าขึ้นไปอีก เพราะ Han Kang เป็นนักเขียนนอกกระแสที่เขียนถึงชีวิตของคนธรรมดาทั่วไป อย่างไรเสียก็จะมีคนปฏิเสธต่ออีกเสมอว่าการเขียนถึงชีวิตจริงของปัจเจกบุคคลเพื่อสะท้อนสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นเป็นแนวทางแบบตะวันตก เป็นการถูกครอบงำ กดขี่ อย่างไรก็ตาม นักเขียนมากมายที่เป็นนักเขียนชาย ซึ่งได้รับการตีพิมพ์อย่างแพร่หลายในเกาหลี ได้รับการสนับสนุนยกย่องจากหน่วยงานของรัฐและสังคมเกาหลี ได้รับการผลักดันอยากให้ได้รับรางวัลโนเบลนั้นกลับไม่ได้อะไรนอกจากความนิยมภายในประเทศเอง ส่วน Han Kang นั้นก็เป็นนักเขียนที่จริงๆ แล้วที่ผ่านมาถูกอ่านโดยคนนอกประเทศ

อย่างที่สองคือ ห้วงรักที่อ่อนกำลังลง ด้วยบริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เช่น ชื่อของเดือนและฤดูกาล

[Journal]

Stream-of-consciousness #2
จัดกระเป๋าไม่เสร็จสักที

ฉันกำลังจะบิน แต่กระเป๋ายังจัดไม่เสร็จสักที รู้สึกเหมือนมือเท้าไม่ยอมทำตามที่สมองสั่ง
เหมือนสมองกับ “ความรู้สึกข้างใน” มันต่อสู้กันอยู่

ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเวลาออกนอกประเทศ เหมือนจิตใจมันแอบบอกว่า “อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว จะดิ้นรนไปไหนอีกทำไม?”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันต้องต่อสู้กับความรู้สึกข้างในของตัวเอง ฉันเคยผ่านมันมาหลายครั้งแล้ว ความรู้สึกข้างในของฉันมักจะอ่อนไหวกับเรื่องความอยู่รอด ความไม่ชอบความลำบาก และความกลัวที่จะต้องอยู่โดดเดี่ยวมากเป็นพิเศษ

ฉันเคยหนีไปสงบจิตใจที่สุราษฎร์ กินเกี๊ยวปลา แกงจืดผักกาดดอง แล้วก็ลอดช่อง ครั้งนั้นก็เพราะความรู้สึกมันห้ามไม่ให้ฉันย้ายไปสิงคโปร์
หลังจากได้นั่งเรือชมหิ่งห้อยที่คลองร้อยสาย ฉันก็ยอมอยู่เมืองไทยต่อ

หลังจากนั้น ความรู้สึกข้างในก็บอกไม่ให้ฉันไปทำงานที่ฉันอยากทำมานาน ซึ่งเป็นงานในฝัน แต่ฉันกลัวลำบาก หัวกับใจมันดันตีกัน สุดท้ายฉันก็เลือกทำงานที่สบายกว่าจากที่บ้านแทน ซึ่งพอมองย้อนกลับไป ฉันคิดว่าฉันเลือกผิด เพราะยอมแลกความสุขไปกับสิ่งที่ไม่มีความหมายเท่าไหร่ ฉันได้แต่นั่งจิบกาแฟที่อร่อยๆ แถวนั้นเพื่อปลอบใจตัวเองไปวันๆ อยู่เกือบปี

ครั้งต่อมา ความรู้สึกข้างในมันก็เต้นแรงอีกตอนที่ฉันต้องตัดสินใจเลือกระหว่างไปอิตาลีหรืออังกฤษ วันที่ต้องเลือกอิตาลี ฉันถึงกับน้ำตาไหล เพราะเจ็บปวดที่ขนาดเลือกได้ แต่ยังไม่กล้าเลือกสิ่งที่มีความหมาย มันแย่จริงๆ

แล้วความรู้สึกข้างในก็เริ่มบอกให้ฉันหนีจากอิตาลี กลับมาหาความหมายจริงๆ ที่เมืองไทย ซึ่งคราวนี้ฉันก็ฟังมัน พอกลับมาแล้ว ฉันรู้สึกถึงความหมายที่ชัดเจนขึ้นของชีวิต ได้กลับมาสนิทกับเพื่อนเก่า และได้เจอเพื่อนใหม่ๆ ได้กินอาหารที่ชอบ ได้ดื่มกาแฟที่มีรสเปรี้ยว ได้ไปที่ที่คิดถึง ได้ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ ได้ทำสื่งที่อยากลองทำด้วย หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นช่วงนี้ทำให้ความหมายในชีวิตฉันเปลี่ยนไป มันเริ่มให้ความสำคัญกับสิ่งรอบตัวมากกว่าตำแหน่งแห่งที่อะไรต่างๆ ที่ฉันเคยคิดว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ

และนี่แหละ ทำให้ฉันยังนั่งจ้องกระเป๋าอยู่ เหมือนกำลังจ้องดูโชคชะตาของตัวเอง แล้วก็ถามว่า
“ทำไมฉันต้องจัดกระเป๋าอีกแล้ว?”

Journal2

ได้ตั๋วเครื่องบินราคาที่รับได้ในที่สุด หลังจากตื่นเจ็ดโมงครึ่ง แต่เหนื่อยมากเตียงดูดกว่าจะได้ลุกก็แปดโมง อาบน้ำแต่งตัวกว่าจะได้ออกจากบ้านก็แปดโมงครึ่ง ถึง south kensington ก็เกือบเก้าโมง แวะซื้อโคลบรูวที่ Blank Street หลอกตัวเองว่าเป็น roots ที่กรุงเทพ แล้วกว่าจะเดินผ่าน V&A กับ Imperial Collge ถึง RCA ก็ใกล้เก้าโมงครึ่ง รีบไปนั่งในห้องเรียนจะกดตั๋ว ตรงกับเวลาสามโมงกว่าของวันอังคารของกรุงเทพ ซึ่งเพื่อนผู้เชี่ยวชสญบอกว่าตั๋วจะถูกกว่าปกติ จังหวะจะกดครูก็เข้ามาจัดโต๊ะอีก มาชวนคุยว่า how do you find london? ตอบห้วนๆ ว่า it’s the same แล้วหาตั๋วต่อ คนอังกฤษเจอแบบนี้ต้องคิดว่าเราเป็นคนหยาบแน่นอน ฮือๆ แต่ในที่สุดก็ได้ตั๋วที่ถูกกว่าปกติจริงๆ รีบกดซื้อ นั่งดิสคัสเรียงความเกี่ยวกับ Aretha Franklin; Joni Mitchell; ภาพวาดของ Bosch โดย JC Clark นักประวัติศาสตร์ศิลป์ฝ่ายซ้าย (never known such thing exists); และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกา ซึ่งสร้างอดีตจากปัจจุบัน คล้ายๆ ชาติบางชาติที่กุจากมา กว่าจะเสร็จก็บ่ายกว่าๆ เหนื่อยแล้ว แต่ยังมี 1:1 ตอนสี่โมง เพราะต้องเขียน criticism 3,000 คำ แต่ต้องไม่ใช่ review ธรรมดา แต่ Think in terms of things in relation to things (เท่อะ ชอบมาก)

ไม่รู้จะฆ่าเวลาไง แต่อยากให้รางวัลตัวเองเลยถ่อจาก kensington ไป soho เพื่อขนมปังไส้หมูแดงในไชน่าทาวน์ และกาแฟดริปร้านโปรด พออ่านหนังสือพักใจ แล้วเขียนอะไรสักเล็กน้อย แอบอ่านสรวิศ ชัยนาม เพื่อเอามาใช้คุยกับครูตอนบ่ายแก่ให้ตัวเองดูไม่แย่เกินกว่าเด็กคนอื่นในคลาสมาก ถ่อกลับไป RCA ออกจากคลาสก็เหนื่อยเหมือนเข้าคลาส RPM เพราะใจเต้นแรงตลอดเวลาตามประสาคนเป็น anxiety กลับบ้านมาทำอาหารกิน กินเสร็จก็หมดแรงแต่ยังไม่พอรู้สึกขาดพร่องแบบที่สรวิศ ชัยนาม เขา criticize เลยไปอาบน้ำล้างความรู้สึกต่างๆ ที่กลุ่มรุมกันเป็นความเหนื่อยแล้วแอบมานั่งกดบัตรละคร ได้บัตรละคร royal court มาหนึ่งใบจะไปดูหลังคลาส 1:1 อีกหนึ่งคลาสของพรุ่งนี้เช้ามันจบ ไวน์แดงข้างเตียงกระซิบว่าก็กินฉันเลยดิ ก็ไม่กล้ากินกลัวไม่ตื่น อยากบ่น จบ

[Film]

Close (Lukas Dhont, 2022)

ไม่ว่ามันจะคือน้ำตาที่ไหลออกมาเองไม่ยอมหยุด หรือความโหวงเหวงกลางทรวงอกที่ทำให้ทุรนทุรายอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะหลับหรือตื่น หรือความคิดถึงช่วงเวลาที่เคยถูกอีกคนโอบกอด ยอมรับ และอยู่เคียงข้าง และความโกรธแค้นจนระเบิดออกมาเป็นทั้งน้ำตาและความรุนแรงในวันที่คนคนเดิมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ล้วนแต่เป็นอาการของความรวดร้าวที่เนิ่นนานของอาการเสียศูนย์ที่เกิดจากการสูญเสียความสัมพันธ์ที่เราอุส่าบ่มเพาะขึ้นมาด้วยอารมณ์รักใคร่ (ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ไม่รู้จริง ๆ หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่ารัก)

ความรู้สึกว่ามั่นคง ว่าได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรสักอย่างที่ตนวาดฝัน บางครั้งก็รุนแรงพอที่จะทำให้เราปฏิเสธความสัมพันธ์สักความสัมพันธ์หนึ่งออกไป เพราะอัตลักษณ์ระหว่างความฝันกับความสัมพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่คู่กันไม่ได้

แต่อิทธิพลของการปฏิเสธความสัมพันธ์ก็ย่อมจะมีอยู่ ทั้งความเศร้า ความกระอักกระอ่วน กล้ำกลืน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่ว่าจะยอมรับหรือไม่ แต่เมื่อยอมรับแล้วก็อาจจะได้เรียนรู้ว่า ความสัมพันธ์นั้นมันไม่ใช่สิ่งของนอกกายที่จะโยนทิ้งไปได้ดื้อ ๆ โดยไม่รู้สึกอะไร ใครสักคนที่หล่นหายไปจากชีวิต คนที่เคยใช้เวลานอนกอด ขี่จักรยานเคียงข้าง วิ่งเล่นในสวนด้วยกัน ไม่ว่าเหตุที่จะทำให้คนคนนั้นหายไปคืออะไรก็ดี ความคิดถึงจะเป็นส่วนหนึ่งของความรัก และมันมีความเจ็บปวดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นะไอ้หนู

Frances Ha (Noah Baumbach, 2012)

หนังเรื่อง “Frances Ha” ของ Noah Baumbach และ Greta Gerwig มีเสน่ห์และความกระตือรือร้นบางอย่างที่ทำให้มันน่าดู โดยเฉพาะตอนที่ Frances พูดถึงคนสองคนที่เจอกันและต่างคนต่างก็ชอบกัน แต่ในที่สุดก็ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเองในงานปาร์ตี้ ตอนท้ายของเรื่อง ตัวละครนักเขียนบทกลับมาเจอกับ Frances อีกครั้งและบอกว่าตัวเองยังสนใจเธออยู่ มันทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องความสัมพันธ์แบบชีวิตจริง ไม่ใช่ความรักหวานแหวว ไม่ใช่แม้แต่เรื่องรักด้วยซ้ำ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ คล้ายกับในหนังของ Woody Allen หรือหนังแนว French New Wave การถ่ายทำในแบบขาวดำและดนตรีประกอบของ Georges Delerue ก็ไปกันได้กับแนวทางนี้

ด้วยความที่ Baumbach และ Gerwig ต่างก็เรียนมาทางวรรณกรรม ทำให้เราได้เห็นการจับคู่ไอเดียและธีมต่างๆ มาร้อยเรียงให้เกิดความหมายเฉพาะของมัน การที่ Frances เลือกทิ้งคู่หมั้นและแมวเพื่ออยู่กับเพื่อน และการที่เพื่อนคนนั้นเลือกแต่งงานและมีอนาคตที่ต่างจากเธอ มันทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และยังกลับมาเผยให้เห็นว่าเพื่อคนนั้นเองก็แอบอิจฉาความกล้าและชีวิตที่ Frances เลือก ชีวิตที่เรากล้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเอาตัวรอด สูบบุหรี่ และกังวลถึงอนาคต เพื่อหาที่ว่างให้ตัวเองทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ การต้องเปลี่ยนจากห้องเช่าทั่วไปสำหรับคนวัยใกล้สามสิบมาอยู่ในหอพักเล็กๆ ทำงานเป็นเด็กรินไวน์ และเป็นแค่ผู้ช่วยในคณะนักเต้น ทั้งๆ ที่ตัวเองอยากเป็นนักเต้นหรือโครีโอกราฟเฟอร์ มันมีความจริงอยู่ในนั้น ความจริงว่าความสุขคืออะไร ความจริงของชีวิตชนชั้นกลางที่แม้จะเอาตัวรอดแล้ว แต่ยังคงถามตัวเองว่าเราจะรอดไปแบบไหนกันแน่ และยังมีคำถามต่อเนื่องว่าจริงๆ แล้วเรารวยพอที่จะทำตามฝันแบบเด็กรวยคนอื่นๆ ได้จริงหรือเปล่า

ชอบตอนจบที่ในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นงานโครีโอกราฟของ Frances จริงๆ ทั้งความกังวลถึงอนาคต การสูบบุหรี่ โทรหาเพื่อน ทำงานพิเศษ และรักษาร่างกายของตัวเองเพื่อใช้เต้น ความเรียบง่ายของลีลาการเต้นสะท้อนถึงวิถีชีวิตของเธอตลอดทั้งเรื่อง มันเป็นความจริงที่เธอใช้ชีวิตมาอย่างตรงไปตรงมา และแทบจะเลียนแบบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตที่เธอเลือกเอง

Winter Boy (Christophe Honore, 2022)

ไอ่เกน้อยหน้าหวานวัยสิบเจ็ด กับความนอยในชีวิตวัยรุ่น นี่ก็เลยรู้สึกว่าอารมณ์มันพลุ่งพล่านสมวัยดีตลอดเรื่อง นี่คือหนังยาวเรื่องล่าสุดของ Christophe Honore ผกกหนังอินดี้ชาวฝรั่งเศส

ไอ่เกน้อยถูกปลุกกลางดึกในโรงเรียนประจำมีพี่ชายมารับ ไอ่เกงงตลอดทางที่นั่งรถ จนถึงบ้านเห็นรถจอดอยู่เป็นสิบคันก็รู้ว่าพ่อเสียแล้ว นี่คิดว่าในช่วงวัยแบบนี้มันมีคำถามว่า “แล้วฉันล่ะ?” กันอยู่ทุกคน ในวันที่ถูกบอกว่าให้เข้มแข็ง ให้คอยอยู่เป็นเพื่อนแม่ แล้วมองพี่ชายไปใช้ชีวิตแบบที่พี่ชายอยากใช้ในปารีส ก็คิดว่ามันแน่นอกจนอยากระเบิดอยู่ละ

อารมณ์หนังมันส่วนตัวมากกกก อะนะ ไอ่เกน้อยหน้าหวานใช้ SEX เป็นเครื่องมือในการ escape ความรู้สึกที่จัดการไม่ได้ มีเพื่อนที่ออกแนวเป็น fwb ด้วยกันคนหนึ่งที่โรงเรียน แต่นางก็อยากได้อะไรที่มันลึกซึ้งกว่านั้น แต่เพื่อนนางก็ให้ไม่ได้ เพราะยังเด็กอยู่ด้วยกันทั้งคู่

TLDR: นี่มาอ่านบทสัมภาษณ์ผกก เขาก็บอกว่าเขาตั้งต้นจากเรื่องส่วนตัวที่สูญเสียพ่อและความเป็นกะเลยน้อยของตัวเองในวัยเด็กจริง แต่ทำงานกับนสด เพื่อสำรวจว่าความทรงจำเหล่านั้นมันจะมีความหมายยังไง ถ้าเอามาเล่าใหม่ในฉากหลังที่เป็นยุคปัจจุบัน ตัวเขาเองจะใช้ชีวิตผ่านความโศกเศร้าที่เสียพ่อยังไงบ้าง มันก็เลยมีรสชาติของความเป็นแบบ ไอเกน้อย milleniel ร่านลวยคุยที่เป็นไบโพลาร์

ดราม่าของหนังก็เลยมาตกกับระยะทางของความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครในเรื่อง แม่ พี่ชาย น้อง ครอบครัวนี้มันไม่มีใครเล่าความรู้สึกให้กันฟังอะ ไอ่เกน้อยน้องเล็กก็พยายามจะพูด แต่แม่มันก็ไม่พูด พี่มันก็พยายามหลีกเลี่ยง เพราะแบบไม่พูดกันอยู่นี่ดีแล้วสำหรับตัวมันในการตามฝันเป็นศิลปินอยู่คนเดียวในปารีส คือถ้าได้พูดน้องมันก็คงจะโอเคกว่านี้อะนะ วงวารสัดๆ

แต่กะเทยก็คือกะเทย กะเทยเด็กก็มีอิทธิฤทธิ์ของมัน ไอ่เกน้อยน้องเล็กก็เลยขอมาตอแหลอยู่กับพี่ชายที่ปารีสอาทิตย์นึง ซึ่งแม่และญาติๆ ก็ให้มา เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศและทำใจก่อนจะกลับบ้านนอกไปย้ายโรงเรียนจากโรงเรียนประจำมาอยู่ใกล้บ้านเป็นเพื่อนแม่แทน (TLDR: แค่พ่อตายก็ปรับตัวยากพอแล้ว ต้องมาเปลี่ยนโรงเรียนอีก ไอแม่yed)

แต่มาถึงก็ร่านเลย ไอ่เกน้อยมีปัญหาเริ่มลอง hook up กับหนุ่มในปารีส แล้วไอ่เกน้อยก็แอบชอบ roommate ของพี่ชายด้วย ซึ่งน่าสนใจกับ Narrative ตรงนี้อะ เพราะ roommate พี่มันเองก็เป็นศิลปิน แล้ววันนึงไอ่เกน้อยมันมาเจอว่าเขาต้องขายตัวเพื่อหาเงินด้วยถึงจะพอกิน พอเห็นคนที่ตัวเองอยากได้โดนเลดยุด ไอ่เกน้อยก็เลยแอบวิ่งไปขอให้ลูกค้าคนนั้นซื้อตัวเองบ้าง มีข้อแม้ว่าพอได้แล้วต้องไปเล่าให้ roommate พี่ชายฟัง มันเป็นวิธีแสดงออกที่ here ดี แต่ก็เป็นมะนุดสัดๆ

ชอบอีกตอนที่ roommate พี่ชายมันพาไปกินข้าวที่ร้านอาหารของแม่ตัวเอง แล้วขากลับไอ่เกน้อยก็บอกชอบเขาบนรถไฟ ชอบไดอะล็อกตอนที่บอกว่า “ถ้าผมไม่บอก พี่ก็ไม่เริ่มสักทีหรอก” โถ่ไอตุ๊ดเด็กเอ๊ย เอ็นดู

ถึงตอนที่ต้องย้ายโรงเรียนจริงๆ ไอ่เกน้อยก็ต่อยกระจกรถแม่แล้วเอาเศษกระจกกรีดข้อมือตัวเอง หลังจาก breakdown ก็ต้องพักฟื้นอยู่ในโรงบาล (น่าจะเป็นโรงบาลบ้าไรงั้นนะ) แล้วไอ่เกก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย จนวันที่ roommate พี่ชายมาเยี่ยม แล้วพาออกไปเดินเล่น แบบมาเอง น่ารักสัด บ้าเอ๊ย ไอ่เกน้อยก็เริ่มมีความสุขขึ้น แล้วพอแม่กลับมามันก็ยอมพูดกับแม่ แล้วก็พูดประมาณว่ามันคงดีอะ ถ้าเราพูดกันบ้าง แล้วแม่ก็เริ่มยอมพูดความรู้สึกตัวเอง

หนังมัน Explore ไปเรื่อยๆ เพื่อหา depth แล้วก็ทาง landing ให้ตัวเอง ชอบนะ เล่าเก่งดี มีไรให้เสียวๆ ลุ้นๆ ตลอด แต่ก็ไม่หลุดเพราะทำหนังเป็นอะ จอยดี ดูไปดื่มไวน์ไปด้วย เชียร์ให้ลองดูกันนะครับ ดูเสร็จต้องหาหนังของ Honore ดูเพิ่มเลยอะ สวดยอดก๊าบ

Perfect Days (Wim WENDERS, 2023)

1
Routine ที่เรียบง่าย กับการทำงานที่ตัวเองพอใจ แต่คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจและเข้าไม่ถึงความพอใจของเรา เป็นเพียงฝ่ายมองและสังเกตความตื่นเต้นในชีวิตคนอื่น โดยเฉพาะกับการเปิดใจให้กับการมีความสัมพันธ์ โดยที่เราไม่ต้องเสียแรงพยายามใดๆ มากมาย ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าความสุขได้หรือเปล่า แต่มันก็คือแต่ละวันที่เราเห็นในชีวิตของคุณลุงใน Perfect Days

2
ตื่นเช้าตรู่ ขับรถ ฟังแพตตี้ สมิธ จาก tape cassette เสียงเพลงล้อกันกับจังหวะชีวิตชิวๆ ของเขา ไปทำงานทำความสะอาดห้องน้ำ แอบมองผู้หญิงคนหนึ่งตอนกินข้าวกลางวัน แวะกินอาหารจิบเครื่องดื่มหลังเลิกงานตอนเย็น ก่อนจะใช้เวลาตอนค่ำอ่านหนังสือย่างสันโดษ และไปผ่อนคลายที่โรงอาบน้ำในวันหยุด ชวนให้เราคิดถึงปีก่อนตอนย้ายไปอยู่คนเดียวที่เอกมัย ทำงาน WFH 100% ออกไปซื้อกาแฟปากซอยในตอนสายๆ วันไหนเบื่อๆ ก็เปลี่ยนที่ไปนั่งจิบโคลบรูวคอมม่อนทองหล่อ หรือบางทีหิวๆ ก็ไปกินอาหารเช้าที่ถูกและดีตรง 88 หรือนั่งมอไซไปร้าน pridi bkk สายๆ ก็ค่อยเริ่มงาน ข้ามถนนไปกินเกาเหลาตอนเที่ยง ตกเย็นก็ไปยิม ทั้งสงบสุขและน่าสมเพชกับความเรียบง่ายไม่มีอะไรให้ตื่นเต้นมากมายของแต่ละวัน ทั้งหมดนี้แลกกับการซื้อเวลาเพื่อให้ตัวเองได้ลองอยู่คนเดียว และทำภารกิจบางอย่างที่ได้รับโอกาสเข้ามาในชีวิตช่วงนั้น ส่วนในหนังเราไม่เข้าใจนักว่าคุณลุงทำไปเพื่ออะไร แต่ก็พอรู้ว่าเขามีน้องสาวที่รวย และหลานสาวที่บางทีก็อยากจะหนีมาใช้ชีวิตแบบเขาดูบ้าง

3
ชายแก่สองคนวิ่งไล่คว้าเงาของกันและกันอยู่ริมตลิ่งน้ำ นอกจากจะดูเป็น mis en scene ที่เยอรมันมากแล้วก็ชวนตั้งคำถามถึงความไม่รู้จริงๆ ว่าเราไล่ตามหรือไขว่คว้าอะไรกันอยู่ในชีวิต จนวันที่เราจะตายเราก็เพียงอยากจะได้พบหน้าคนที่มีความหมายจริงๆ กับเราอีกสักหนก็เท่านั้น แต่ละเฟรมที่แล่นผ่านตา เล่าเรื่องมาอย่างเรียบๆ แต่จริงๆ แล้วแอบตั้ง argument ถึงการอยู่คนเดียวสบายๆ ไม่ต้องกังวลหรือกลัวอะไร กับการต้องรู้สึกมากขึ้นเมื่อเปิดรับคนอื่นเข้ามาในชีวิต

4
“He lived at a little distance from his body, regarding his own acts with doubtful side-glances.” James Joyce, Dubliners

[Exhibition]

A Riot in Three Acts (Imran Paretta, Sommerset House, 2024)

ด้วยการเล่นกับความทรงจำของส่วนรวม ความทรงจำส่วนตัว และภาพในจินตนาการ Imran Paretta ใช้เทคนิคของภาพยนตร์ กล่าวคือ การสร้างฉากพื้นหลังขึ้นมา และการใช้เสียงดนตรีเพื่อปลุกอารมณ์ความรู้สึก และจินตนการซึ่งอาจก่อให้เกิดภาพ หรือความทรงจำบางอย่าง เพื่อกระตุ้นผู้ชมให้เกิดอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องราวของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปี 2011 เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้ปืนยิงชายที่ไม่มีอาวุธจนถึงแก่ความตาย ก่อให้เกิดการลุกฮือและจลาจลผ่านการบอกข่าวสารกันทางมือถือ blackberry

Exhibition text แปะไว้ในห้องแรกเพื่อให้ผู้ชมได้อ่าน ก้อนกรวดที่ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบ ต้นไม้ที่ใบร่วงหมดเหมือนบอกถึงความทรงจำที่ถูกหลงลืมไร้ชีวิต ฉากพื้นๆ เพื่อให้เห็นถึงห้าง reevs ในสถานที่เกิดเหตุตั้งอยู่ ดนตรีที่ถูกประพันธ์ขึ้นในลักษณะของ requiem ถูกปล่อยให้บรรเลงไปเรื่อยๆ จากเครื่องเสียง นำพาเราเข้าไปสู่ state ของอารมณ์บางอย่าง ความอยากรู้อยากเห็น ความระแคะระคายว่ามันคงจะมีอะไรที่น่าเศร้า ที่เกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บล้มตาย ที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดเกิดขึ้นในสถานที่แห่งนั้น ไม่มีภาพมากำหนดหรือปิดกั้นจินตนาการของเรา ในขณะเดียวกัน illusion บางอย่างก็ถูกสร้างขึ้นผ่านเสียงดนตรี ภาพยนตร์เกิดขึ้นในหัวของผู้ชม

ในห้องสุดท้ายเรามองเห็น blackberry ซึ่งหน้าจอมีแสงไฟลุกฉายฉานเหมือนกับไฟไหม้ป่า มันคือภาพของจลาจลที่เกิดขึ้นจริงในตอนนั้น แต่มันไม่ได้ชัดเจนพอจากขนาดของจอที่เล็กกระจิ๋วทำให้ภาพยนตร์ในหัวของเรายังคงเล่นไปอย่างต่อเนื่อง กระดาษ score ของ requiem ที่ถูกประพันธ์ขึ้นถูกวางเอาไว้ ให้เราสามารถจับต้องสิ่งที่เราได้ยินทางหูได้ด้วยตา และถัดมาคือภาพโมเดลของสถานที่เกิดเหตุวางเคียงคู่กับหนังสือพิมพ์ที่ลงข่าวของเรื่องราวที่เกิดขึ้น กับภาพพิมพ์อีกสองสามแผ่นตามจินตนาการของศิลปินถึงเหตุการณ์ที่เขานำมาเล่า

แม้ว่ารูปถ่ายหรือวิดีโอจะสามารถบันทึกภาพของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงไว้ได้ แต่มันก็ทำลายอนาคตของสิ่งที่ถูกถ่ายและบันทึก วัตถุหรือสิ่งที่ถูกบันทึกไม่สามารถจะพูดแทนตัวมันเองได้ แคปชันและคำอธิบายอาจสามารถเขียนขึ้นเพื่อบิดเบือนความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นไม่เหลือความเป็นปัจจุบัน ในขณะที่ภาพยนตร์พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นได้ในทุกครั้งที่มันถูกฉายซ้ำขึ้นอีกครั้ง การเดินผ่าน A Riot in Three Acts ทำให้เราได้เข้าไปรับรู้เหตุการณ์ผ่านจินตนาการของเราเอง มันร้องขอโดยไม่บังคับให้เราเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมองสิ่งอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัวเราเมื่อเราเดินกลับออกไปสู่โลกปัจจุบันอีกครั้ง มันตั้งคำถามว่าเรื่องราวของมันจะถูกเล่าอย่างใกล้ชิดมากขึ้นและห่างเหินน้อยลงจากความเจ็บปวด ความรุนแรง และการเมืองที่พัวพันกับตัวมันเองได้อย่างไรบ้าง?

[Plays]

The Real Thing by Tom Stoppard (Max Webster, The Old Vic, 2024)

ความรักอาจเป็นความพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะความรู้สึกแปลกแยกและโดดเดี่ยว ด้วยการคอนเน็กอย่างลึกซึ้งกับใครสักคน สำหรับผมแล้วโปรดักชัน “The Real Thing” by Tom Stoppard ที่โรงละคร The Old Vic กำกับการแสดงโดย Max Webster พูดอย่างลึกซึ้งกับผมในประเด็นนี้ นักแสดงแสดงได้อย่างที่บทละครถูกเขียนขึ้น การใช้ understudies มาเป็น stage crew ด้วย บางทีก็แสดง และเต้นด้วย ช่วยเพิ่มความรู้สึกว่าเราต่างก็ถูกส่งอิทธิพลจากผู้คนและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ผลงานการออกแบบฉากของ Peter McIntosh ใช้ไฟ LED มาช่วยส่งความรู้สึกตรงนี้ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ไม่ใช่บทวิจารณ์ละครเวทีที่จะมาบอกว่าอะไรดีไม่ดี เพราะผมเป็นคนดูละครคนหนึ่งที่มีความรู้สึกทำยังไงก็ทำถ้าคุณทำให้ผม “น้ำแตก” ในจุดสุดท้ายในประเด็นที่บทนำเสนอได้ ผมก็แฮปปี้

แต่สิ่งที่ผมอยากจะพูดถึงคือธีมของความรักและความเป็นจริงเกี่ยวกับความรักที่อยู่ในบทละครเรื่องนี้ กับคำถามว่าต่อให้ตัวละครจะเป็นคนเขียนบทกับนักแสดงที่ความรักของพวกเขาก่อรูปก่อร่างมาจากความคลุมเครือไม่แน่ใจ (เริ่มมาจากการเป็นชู้กัน) แต่มันสำคัญไหมที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ยั่งยืน ในเมื่อความสัมพันธ์นี้มันคือ “ของจริง”

การที่ผมเดินออกมาจากโรงละครเพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Waterloo เปิดอินสตาแกรมขึ้นมาแล้วเห็นในฟีดว่ากฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว ยิ่งทำให้ผมคิดถึงเรื่องของความรักความสัมพันธ์อย่างจริงจังเข้าไปใหญ่ ทั้งๆ ที่บทละครก็เป็นเรื่องของชายหนุ่มหญิงสาว แต่ความไว้ใจหรือการหักหลัง การตกหลุมรักหรือการหมดรัก สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นสิ่งที่ความสัมพันธ์ทุกรูปแบบต้องพบ ไม่ว่ามันจะเป็น straight หรือ gay hetero หรือ homo

ผมต้องการความรัก แต่ผมก็ปิดกั้นตัวเองจากการมีความรัก แม้ว่าลึกๆ แล้วจะยังต้องการถูกรัก ผมมองเห็นการแต่งงานเป็นการสูญเสียอิสรภาพ และความสัมพันธ์เป็นการเซ็นสัญญายอมรับว่าวันหนึ่งอีกฝ่ายจะต้องทำให้เราเจ็บปวด ความกังวลมักจะก่อตัวเมื่อผมเริ่มแตะเท้าเข้าไปในเขตแดนของความรัก The real thing ก็พูดถึงสิ่งเหล่านี้ที่ความรู้สึกรัก หึงหวง นอกใจ ถูกนำเสนอผ่านการเอาไพ่ป็อกมาต่อกันเป็นบ้าน เพียงแรงกระทบนิดเดียวมันก็พร้อมจะล้มพังครืนลง

พูดตรงๆ ก็กลัวเจ็บนั่นแหละ

บทละครนำเสนอเพลงสามเพลง 1) I’m into something good ของ Herman’s Hermits แทนความรู้สึกตื่นเต้นของการแรกเริ่มชอบกัน ที่ทุกอย่างมันใช่ไปหมด 2) You have lost that loving feeling ของ Righteous Brothers แทนความรู้สึกจืดชืด ขมขื่น เมื่อความรักทรงตัวและโรยรา 3) I’m a believer ของ Monkees ในตอนจบที่สุดท้ายแล้วสองตัวละครหลักยังอยู่ด้วยกันยอมรับว่าความสัมพันธ์พวกเขามันจะกลายเป็นอื่นจริงก็ต่อเมื่อมันเกิดความจำเป็นขึ้น ไม่ได้ก่อเกิดมาจากความต้องการ

เมื่อดูจบ จนเห็นภาพสุดท้าย ผมกลับรู้สึกว่า เออ ความรัก มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น เรากำลังอยู่บนทางเดินที่จะหา “ของจริง” ของเราให้เจอ มันทำให้ผมรู้สึกเปิดใจให้กับความรักอีกครั้งหนึ่ง บางทีความรักอาจจะเหมือนกับที่อีริค ฟรอมม์ พูดไว้ว่า การจะรักได้คุณจะต้องไม่หยิ่งเกินไปที่จะรัก ไม่มัวต่อรอง แต่จงเรียนรู้จักรัก

งื้อ

Look Back in Anger by John Osborne (Almeida Theatre, 2024)

ถ้าให้แนะนำละครเวทีที่น่าดูที่สุดในอังกฤษตอนนี้ก็ต้องบอกว่าให้ไปดู Double Bills เรื่อง “Look Back in Anger by John Osborne” กับ “Roots by Arnold Wesker” ที่กำลังเปิดแสดงที่ Almeida Theatre ด้วยเหตุผลหลายประการ โดยวันนี้จะขอรีวิว Look Back in Anger ก่อน เพราะ Roots จะไปดูพรุ่งนี้

Look Back In Anger เป็นบทละครที่มีชื่อเสียงที่สุดสำหรับนักเขียนกลุ่ม Angry Young Men คำว่าคนหนุ่มที่กำลังโกรธ หมายความถึงกลุ่มนักเขียนบทละครในช่วง 60s ซึ่งมาพร้อมกันกับ Royal Court Theatre บทละครของพวกเขานำเสนอประเด็นสังคม วิพากษ์วิจารณ์สิ่งที่พวกเขาไม่พอใจ

มันเขียนขึ้นโดย John Osborne มันพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนหนุ่มสาววัยยี่สิบปลาย ผู้หญิงจากครอบครัวชนชั้นกลาง หลงรักคนหนุ่มที่ออกแนวแบบมีอุดมการณ์ มีโลกในอุดมคติของตัวเอง แต่ก็สิ้นหวังไม่มีแรงจะออกไปเปลี่ยนแปลงอะไร เล่าเรื่องราวชีวิตของ Ordinary Failures บ้านก็เช่าเขาอยู่ ถ้าไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ไม่อาจมีครอบครัวมีความสัมพันธ์ได้โดยไม่ต้องคิดถึงต้นทุนทางเศรษฐกิจและชนชั้น ความโรแมนติกของเรื่องนี้ก็คือการที่ผู้หญิงชนชั้นกลางหลงไอหนุ่มติสต์มันกำลังบอกว่า ในความเป็นจริงแล้วเราต่างก็ต้องการชีวิตที่แตกต่างออกไปจากที่เราใช้กันอยู่นอกโรงละคร มันถูกเขียนขึ้นจากความสัมพันธ์ระหว่าง John Osborne เองและภรรยาคนแรกของเขา ซึ่งเถียงกันในแฟลตที่เช่าอยู่ตอนรีดผ้าอ่านหนังสือพิมพ์จนถูกกลั่นออกมาเป็นบทละครเรื่องนี้

เสียงทรัมเป็ตเป่าออกมาจากไกลๆ เหมือนเสียงเพลงแจ๊ส เหมือนเสียงแตรเรียกร้องหาอิสรภาพในใจและในวิถีชีวิต มันจะมีไหมชีวิตที่เราใช้ได้อิสระกว่านี้โดยไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของระบบเสรีนิยมใหม่? ในโลกเสรีนิยมใหม่ที่เป็นอย่างที่มันเป็นอยู่ มีคำถาม ซึ่งเป็นคำตอบในตัวของมันเองว่า ทำไมจึงไม่มีใครอยากใช้ชีวิต ทำไมทุกคนจึงสยบยอมต่อวิถีชีวิต ยอมทำงานแลกเงิน ยอมประนีประนอมกับความปรารถนาภายในใจ ทำไมคนแก่จึงไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลง และทำไมคนหนุ่มจึงโกรธแค้นที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวในหนังสือพิมพ์ว่าก็เหมือนๆ กันหมดทุกคอลัมน์ ทุกฉบับ ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือเวทีเปลือยเปล่า วางพร็อพ เช่น วิทยุ จาน ชาม แก้วน้ำ ตุ๊กตา ทรัมเป็ต โต๊ะรีดผ้า เก้าอี้ หนังสือพิมพ์ ยาสูบ ทุกอย่างที่เป็นองค์ประกอบในชีวิตของคนพวกนี้ จริงๆ แล้วพวกเราทุกคนก็รู้สึก แต่ไม่มีใครอยากจะสนใจความรู้สึกนั้น เพราะการไปรู้สึกกับมันทำให้เกิดปัญหากับตัวเองและสังคมมากเกินไป ในแง่ของภาพ ชอบองก์สองมาก โปรดักชันนี้เลือกโปรยเหมือนเศษดิน เศษทรายให้ตกลงมาจากเพดาน ไปบนเวที เหมือนนาฬิกาทราย และเหมือนกับตะกอนของความรู้สึก หรือระบบเศรษฐกิจที่ย่ำยีชีวิตคน ที่จะค่อยๆ ทับถมกลบฝังชีวิตของพวกเราไปอย่างช้าๆ และจบได้ใจหมามาก เพราะผู้กำกับเลือกช้อยส์ให้นักแสดงดิ่งลงไปให้สุดเลย พอเศร้ากันจนดาร์กที่สุดแล้วก็ดับไฟ ชอบสัส

เราชอบบทพวกนี้เพราะมันเป็น Political play ที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเกี่ยวกับการเมืองเลย ไม่จำเป็นต้องหยิบจับเครื่องปรุงส่วนประกอบใดที่มีความเป็นการเมืองทั้งสิ้นมาใส่ไว้ในงาน แต่งานกลับพูดถึงชีวิตของคนธรรมดาจนสามารถสะท้อนอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นได้ วิจารณ์สังคมในแบบที่คนมาดูละครในวันนั้นเขาอาจจะออกจากโรงไปด้วยความคิดใหม่ๆ ได้ หรือถ้าไม่ได้ก็ได้สนุกอะ จะทำไมล่ะ ความตื่นตัวทางการเมืองไม่ได้หมายถึงการพูดถึงแต่เรื่องการเมืองเสมอไป

การไป Almeida Theatre แต่ละครั้งของใช้คำว่าเป็นการจาริกแสวงบุญ เพราะ Almeida เป็นโรงละครเทสดี ในเซ้นส์ที่ว่าเขาชอบเอา modern classic text มาสำรวจว่าสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง (ไม่ได้เอามาตีความใหม่นะ เออ) ซึ่งเป็นอะไรที่ถูกจริตรัดไทสุดๆ (TLDR: เราเชื่อแบบ Susan Sontag ว่า การตีความใหม่เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น สู้เอาเวลามาหาวิธีใหม่ๆ ในการแสดงละครเรื่องเดิมดีกว่า เพราะความหมายของมัน คนเขียนบทเขาก็เขียนมาอย่างดีอยู่แล้ว เอาความหมายของมันเองออกมาแล้วดูว่ามันหมายความอย่างไรกับบริบทปัจจุบันดีกว่าเนอะ ไม่ได้พูดเอง Susan Sontag พูด ถ้าจะโกรธก็โกรธ Sontag ห้ามโกรธรัดไท)

Billy Howle เป็นนักแสดงที่เราชอบมานานมากแล้ว เราชอบวิธีการแสดงของเขา มันเป็นการใช้ความรู้สึกของตัวเองให้ถูก reveal ไปพร้อมกับ text ให้ text พาไป แล้วรู้สึกว่าเป็นนักแสดงที่มี voice technique ที่ดีมากสังเกตจากวิธีการใช้ร่างกายปล่อยอารมณ์ออกมาพร้อมกับการหาทิศทางให้กับเสียง

House Wine ของ Almeida Theatre อร่อยมาก

คิดว่าจะเขียน essay ยาวๆ เกี่ยวกับโปรดักชันนี้ แต่ตอนนี้รีวิวแค่นี้ก่อนฮะ

Roots by Arnold Wesker (Almeida Theatre, 2024)

เรื่องที่สองของ Double Bill โดย Angry Young Men ที่ Almeida Theatre คือ Roots ของ Arnold Wesker ทั้ง Look Back in Anger และ Roots ต่างก็ถูกเขียนขึ้นในช่วงที่คนเขียนบทยังอยู่ในช่วงอายุ 20 กว่า แพสชันที่เอามาใช้ในการดำเนินเรื่องมันจึงเป็นเรื่องความรัก ความใคร่ ซึ่งเราชอบและรีเลทกับมันได้ง่าย เพราะมันอาจจะเป็นเพราะเรากำลังอยู่ในช่วงอายุยี่สิบปลายและอยู่ในอารมณ์รักด้วยนั่นแหละ

“เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงใครได้ เราทำได้แต่เพียงรักเขา และหวังว่าเขาจะเปลี่ยนแปลง”

Beatie นางเอกของเรื่องพูด ความรักของเธอที่มีต่อตัวละคร Ronnie ซึ่งเธอบอกว่าเขากำลังจะมาแต่งงานกับเธอ แต่เขากลับไม่เคยปรากฏตัวในเรื่อง (สุดท้ายแล้วนางเอกโดนเท) แต่ความรักซึ่งน่าจะทำให้คนเราตาบอด กลับเปิดหูเปิดตานางให้ตั้งคำถามว่า

“ทำไมคนเราจึงไม่ตั้งคำถามกับชีวิตที่ดำเนินไปในสังคมอีกแล้ว เราแค่พยายามไม่คิดอะไรกับมัน กิน ทำงาน ใช้ชีวิตไปตามที่มันต้องใช้ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หาคำตอบที่ง่ายให้กับคำถามที่ยาก”

หลังจากไปอยู่ลอนดอนเสียนาน Beatie ก็กลับมาหาพ่อแม่ที่บ้านนอก บอกว่าตัวเองจะแต่งงาน และบอกว่า “ศิลปะ” นั้นก็เป็นสิ่งที่เปิดกว้างสำหรับชนชั้นล่างเช่นกันไม่ใช่แค่เรื่องสำหรับคนมีการศึกษา และหลังจากที่เธอโดนเทก็ดูเหมือนว่าเธอจะต้องถูกปลุกให้ตื่นกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง โดนแม่ตบหน้าให้ตื่นจากฝันหวาน แต่ชัยชนะของเรื่องนี้ก็คือบทพา Beatie ลงลึกไปกว่าเดิมอีก ซึ่งมันดูเป็นการตื่นรู้ของเธอมากกว่าความเพ้อฝัน เพราะเธอไปถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า ชีวิตที่เธอต้องการไม่ใช่ชีวิตอย่างที่ทุกคนยินยอมจะใช้กันอยู่

ในแง่สุนทรียะสำหรับไอ้บทเรื่องนี้ก็คือผู้เขียนสามารถนำเสนอเรื่องรักโรแมนติกที่สะเทือนใจคนได้มากๆ ด้วยความเป็นบทตลก แบบ highten comedy แบบ farce แบบหอแต๋วแตกอะอีสัส อยู่ในตัว เช่น ความทะลึ่งหน้าตาย การร้องเพลงอะไรก็ไม่รู้ขึ้นมา การอาบน้ำในห้องครัว การที่แม่ไม่ยอมพูดกับพ่อโดยตรงๆ จะเอาอะไรก็ต้องพูดผ่านลูกสาวทั้งๆ ที่ก็นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวโต๊ะเดียวกันในห้องครัว ลูกสาวที่แก่แดดฝันเพ้ออยากจะเป็นศิลปินและแต่งงานกับกวี มันตลกแต่มันก็มีความเป็นบทละครของเชคอฟอยู่ด้วยในเซ้นส์ที่ว่าในทุกมุกที่เราขำนั้นคนเขียนบทก็หาทางทำให้แน่ใจเราไม่ได้สมเพช แต่รู้สึกร่วมและเห็นใจตัวละครตลกๆ พวกนี้

Roots เป็นหนึ่งในบทละครที่ดังที่สุดของ Arnold Wesker ซึ่งเรียนทำหนังที่ London Film School (which Radtai also went to — Flex lol) บทละครใช้พลังของสิ่งที่เกิดขึ้นในฉาก ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างมาเล่าเรื่องเรื่องนี้ ซึ่งเป็นรสชาติที่หาได้ยากสำหรับการดูละครเวที เพราะเรารู้สึกว่าตัวละครในบทเรื่องนี้มันมีความอยู่ในเรื่อง ในโลก ในสถานที่เดียวกันจริงๆ ไม่ได้ถูกตัดแต่ง หยิบฉวย จากตรงหลายตำแหน่งแห่งที่ในชีวิตของผู้เขียนเข้ามายัดรวมไว้ในสถานที่เดียวกัน มันให้ความรู้สึกถึงการมีกล้องตั้งถ่ายอยู่ อะไรอย่างนั้น

ถ้าหากว่ามันเป็นบทความเชิงสังคมวิทยาเกี่ยวกับเรื่องชีวิตและสังคมมันก็คงจะขาดหลักฐานสนับสนุนและความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเราจะนำเสนอเรื่องราวเชิงสังคมนิยมออกมาผ่านแพสชันที่เป็นการเมืองจ๋าๆ มันก็คงแห้ง เลี่ยน และขาดมิติที่สำคัญที่สุดที่ไอเดียในอุดมคตินี้มันควรจะสัมผัสให้โดนให้ได้ นั่นก็คือ “ชีวิตจริง” คำว่า “การเมือง” มีอะไรมากกว่าเรื่องราวไม่กี่เรื่องที่คนเราชอบเอามาผลิตซ้ำกันเยอะมาก อย่างไรเสียผืนพรมของสังคมที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนในสังคมก็ถูกถักทอจากเส้นใยสำคัญเส้นหนึ่งก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเรือน ในครอบครัว ในความสัมพันธ์รักโรแมนติกนี่แหละ แบบที่ Alan Bordieu หรือ Slovoj Sisek ก็เคยเขียนถึงว่าการเรียนรู้จากความรักนั้นจะทำให้เราเข้าใจความโหดร้ายของทุนนิยมอย่างไร และมองเห็นความจำเป็นของการมีระบบสวัสดิการเพื่อให้คนเรารักกันได้อย่างสุดจิตสุดใจจริงๆ เป็นต้น whatever it is Arnold Wesker เขียนออกมาอย่างนี้ได้แน่นอนว่าเขาต้องเป็นคนหัวเอียงซ้ายมากๆ แต่ก็มีรสนิยมมากๆ เช่นกัน เรารู้สึกว่ามันเป็น quality ของนักการละครที่ฝักใฝ่ไปทางซ้ายที่หาได้ค่อนข้างยาก

ไม่มีพักครึ่ง ความยาวประมาณสองชั่วโมง House Wine แก้วใหญ่ 250 ml ของ Almeida เอาอยู่ เอนจอยกับตัวเลือกให้นักแสดงทั้งหมดอยู่ที่ขอบเวที เตรียมส่งพร็อพ เปลี่ยนฉากให้กัน ไม่มีการใช้สเตจ ก็ดูไม่มีไฮราคีใดๆ สมกับเป็นละครสังคมนิยม มันก็ทำให้เรามองความรักเปลี่ยนไปอีกจริงๆ ก็คือเราเลือกจะเชื่อใจตัวเราเองมากกว่า สลัดทิ้งไอเดียที่เขาชอบพูดกันว่า long distance relationship มันไม่เวิร์กหรอก เป็นต้น ทำไมเราจึงหยุดตั้งคำถามล่ะ why easy way out for everything? And why political story again when you want to talk about politic?!!!!!!!!

--

--

Radtai Lokutarapol
Radtai Lokutarapol

Written by Radtai Lokutarapol

Eventually found himself at Royal College of Art, having stumbled upon theatre; cinema; tech; luxury, torn between business and art, from LDN; PAR; MIL; BKK

No responses yet