การเลิกล้มละครธิปไตย (เทศกาลละครกรุงเทพฯ2022, หอศิลป์)
- ภาระตกที่คนดู เมื่อฉายหน้าบรรดานักการละคร แล้วก็ทิ้ง ต่อมา พูดถึงนักวิจารณ์คนหนึ่งออกประกาศ แล้วก็ทิ้ง แต่น่าสนใจ จากนั้นเรื่องข้ามไปพูดถึงข้อคิดเห็นบนเฟสบุ๊ค แล้วก็ทิ้งเอาไว้ เริ่มหมดอารมณ์ ตัดมาพูดเรื่อง มิวสิคัล และการอุปถัมภ์ศิลปิน แล้วทิ้ง เริ่มไม่แน่ใจว่าเรื่องจะพาไปไหน แล้วก็ตัดพ้อชมรมนักวิจารณ์ต่อ
- งานสมาธิสั้น จนไม่น่าเชื่อถือ ไม่ได้พาไปมองแต่ละอย่างที่จับมามัดรวมกันให้นานพอว่ามันเกี่ยวกันอย่างเฉพาะเจาะจงอย่างไรในสายตาคนสร้างงาน
- สรุปเพียงว่า “โครงสร้างอำนาจในสังคมไทย” ในแบบที่นักวิชาการใช้อธิบายสังคมไทย เอามาเปลี่ยนตัวแปรเป็น “โครงสร้างอำนาจในสังคมนักการละครไทย” ได้ — เป็นสิ่งน่าสนใจ แต่ก็เป็นการชวนงง
- มันยังมีมิติเชิงประวัติศาสตร์ ที่มาที่ไปให้คำนึง และคำถามที่เกิดขึ้นมาได้จากบริบทแวดล้อม “วงการศิลปะการแสดงไทย”อื่นๆ เช่น
คนดู — จำนวนคนดูที่มีน้อย ซึ่งอาจประกอบด้วยนักเรียนการละครนักฝัน กี๊กละคร หรือชนชั้นกลางที่เมื่อมาจับศิลปะการแสดงแล้วก็ต้องกระทำความมิดเดิ้ลคลาส โดยอาราธนาผู้เป็นตัวแทนแห่งคุณงามความดีของศิลปะแขนงนี้เป็นที่พึ่ง
ศิลปิน — มีทั้งศิลปินที่อยู่ได้ทุกที่ มิติทางเวลาของการจับกลุ่มกันขึ้นมาของกลุ่มต่างๆ หรือ ระบบที่ครอบเราอยู่ทั้งหมดจนทำให้มันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ โดยทุกคนก็แสวงหาพื้นที่ไม่ต่างกันก็เป็นได้
เศรษฐกิจ — ทรัพยากร เช่น เงิน หรือพื้นที่ซ้อมและทำการแสดง ไปจนถึงนโยบาย
ก็มีผลได้ทั้งหมด ซึ่งเยอะแยะจนพูดยาก มันจึงน่าจะมีลักษณะที่จำเพาะเจาะจงของมันเองด้วย
- การเอา “โครงสร้างอำนาจ” ในที่อื่นมาครอบจักรวาล โดยไม่หามุมที่ต้องการโฟกัสทำให้งานตีบตัน ไม่รู้จะไปทางไหนดี
- ตอนจบจึงถามจากคนดูว่า “คุณว่าฉันไปต่อไงดี?” ด้วยการเปิดให้คนดูได้ดิสคัสตอนท้าย
- การเลือกที่จะใช้บุคคลจริงในเรื่องทั้งหมด น่าจะสร้างความกระอักกระอ่วนแก่ผู้สร้างงานเอง ต้องเป็นนางฟ้าจำแลงไม่กล้าแสดงตัวตน เล่นรอบเดียว จะวิจารณ์คนเหล่านั้นให้แหลกไปเลยก็กล้าๆกลัวๆ หรือจับต้นชนปลายก็อาจรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกันเท่าที่คิด
- อย่างเดียวที่พอจะรู้สึกได้ว่ามันมาจากตัวคนสร้างงานเอง ก็คือไม่พอใจที่เคยมีนักวิจารณ์ไปดูงานตัวเองเพียงสองคน ซึ่งน่าสนใจ น่าจะเล่าจากตรงนั้น
- ตอนนี้ผู้เขียนรู้สึกว่างานสับสน ทำอะไรไม่ถูก อะไรเข้ามือหน่อยก็คว้ามาปาและปาและปาออกไปแบบไม่มีทิศทาง
- เหมือนกับการนั่งอยู่ในเล็กเชอร์ที่ยังไม่ เวล-ต๊อด-ตรู มันแอบดูด่วนสรุป เหมือนเป็นโฆษณาชวนเชื่อ
- แต่ “All art is propaganda,” จอร์จ ออร์เวล