Ingmar Bergman and my life เบิร์กแมนกับชีวิตของฉัน
เป็นเรื่องยากมากที่จะบอกว่าเราคิดอย่างไรบ้างกับชีวิตของเรา จนบางครั้งเราอาจจะต้องนั่งลงเพื่อมองดูชีวิตของคนอื่น เช่นชีวิตของ Ingmar Bergman ผู้กำกับชาวสวีเดน ถึงแม้ว่าหนังสารคดีเรื่อง “Bergman” จะพยายามนำเสนอว่า Ingmar Bergman มีชีวิตที่พิสดาร เช่น มีภรรยาหลายคน มีเรื่องนอกใจเกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิตแต่งงาน มีชีวิตครอบครัวที่ไม่ค่อยจะดีนัก แต่ชีวิตของ Bergman ก็อาจจะไม่ได้ต่างกันนักกับชีวิตของพนักงานระดับสูงในบริษัทเอกชนสักแห่งหนึ่งที่ไม่มีเวลาใด ๆ ให้กับครอบครัว ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการทำงาน และแสวงหาการระบายออกทางอารมณ์ความรู้สึกจากการมีความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ “ในปี 1957 Ingmar Bergman มีภาพยนตร์ออกฉายหลายเรื่อง รวมไปถึง Seventh Seal ภาพยนตร์เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา และละครอีกหลายเรื่อง เช่น Peer Gynt ซึ่งเป็นที่สรรเสริญกันอย่างอึกทึกคึกโครมในตอนที่มันเปิดแสดง เขาทำสำเร็จมากขนาดนั้นได้อย่างไร?” หนังตั้งคำถามกับเรา
หนังเริ่มเรื่องมาด้วยการที่ Bergman โทรหาหมอของเขากลางดึกในคืนหนึ่งในปีนั้น เพื่อบอกว่าเขาเจ็บแผลในกระเพาะอาหารของเขามาก แผลในกระเพาะ ชีวิตครอบครัวที่ยุ่งเหยิง หนังพยายามจะชี้ว่ามีอะไรบ้างในชีวิตที่ศิลปินคนนี้ต้องแลกมาเพื่อประสบความสำเร็จในฐานะศิลปิน “แต่เรากำลังตีทุกอย่างเป็นราคาที่ต้องจ่ายมากเกินไปหรือเปล่า?” ฉันเกิดคำถามนี้เมื่อขบคิดถึงมันอีกครั้ง คนตั้งคำถามกำลังมองชีวิตของศิลปินคนนี้ด้วยแว่นตาแบบ Neo-liberalism อยู่หรือไม่?
ในโลกสีเทา ๆ ใบนี้ หากจะพยายามแยกแยะขาวและดำให้เห็นเด่นชัด อาจมีคนอยู่สองพวก คือ พวกที่ “พวกเขาใช้ชีวิตราวกับว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะยังไม่ตาย” พวกเขาจึงใช้ชีวิตเพื่อสร้างความมั่นคง สะสมทรัพย์สินและทำการงานไต่เต้าไปตามธรรมเนียมประเพณีของสังคม กับ พวกที่ “พวกเขาใช้ชีวิตราวกับว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้” พรุ่งนี้เขาอาจจะตายจึงทำให้เขาทำในสิ่งที่อยากทำ และไม่อาจจะหยุดทำในสิ่งที่อยากทำนั้นได้ เพราะความกลัวว่าความตายจะมาถึง
คนพวกแรกอาจจะต้องจัดการกับความเสียใจที่ไม่ได้เลือกความสุขจากการทำตามความฝันของตัวเอง ส่วนคนพวกหลังก็อาจได้พบว่าพวกเขาขาดชีวิตด้านอื่นไป ที่ทำให้การดำรงอยู่สมบูรณ์ขึ้น เช่น ชีวิตครอบครัว หรือการใช้เวลาพักผ่อนเช่นคนธรรมดาทั่วไป ศิลปินมักจะบ่นถึงความโดดเดี่ยวของตัวเอง แต่เมื่อคิดให้ดีแล้วฉันไม่เชื่อประเด็นนี้ ฉันคิดว่าเราต่างก็เกิดมาอย่างโดดเดี่ยว และอยู่อย่างแปลกแยกจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวกันอยู่ในระดับหนึ่ง จะมากจะน้อยก็อาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้าง ในความแปลกแยก ความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา เราต่างก็จะได้มีโอกาสมีความสัมพันธ์ มีเพื่อน มีครอบครัว มีคนที่รัก มีคนที่ลืมไม่ลงในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
เราจะเหงาหรือเราจะไม่เหงาก็ไม่เกี่ยวข้องกันกับว่าเราเลือกชีวิตแบบใด เช่นเดียวกันกับปุถุชนทุกคน เราต่างมีโศกนาฏกรรมในชีวิต Bergman ล้มเหลวในชีวิตแต่งงานหลายครั้ง แต่ภรรยาคนสุดท้าย (Ingrid) ก็ถือว่าเป็นรักแท้ของเขา ซึ่งทำให้เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและดำเนินชีวิตตามปกติไม่ได้เลย เมื่อกำลังจะต้องสูญเสียเธอไปในระหว่างที่เขากำลังกำกับละครเรื่อง Misanthrope อยู่ที่ Royal Dramatic Theatre, Sweden
การดูภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ฉันนึกถึงชีวิตของตัวเอง เมื่อครั้งที่ใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการกำกับละครเวที มันไม่มีอะไรที่ต้องการไปกว่ากาแฟสักแก้ว และกินอาหารเมื่อถึงเวลา แน่นอนว่าไม่ได้กินอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องการจะกินก็ไม่ได้หวือหวาอะไรมากมายนัก กล่าวได้ว่ากิจวัตรง่าย ๆ ก็ทำให้ฉันพึงพอใจได้แล้วหากว่าฉันได้ใช้เวลาชีวิตในช่วงนั้นทำในสิ่งที่มีความหมายกับตัวเอง ในช่วงเวลาเดียวกันฉันมีเพื่อนมากหน้าหลายตาที่เดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกันออกไปในชีวิต บางคนก็หันไปทำงานบริษัทอย่างประสบความสำเร็จ บางคนก็ประสบความสำเร็จในเส้นทางที่ออกนอกลู่นอกทางจากความเป็น “ศิลปิน” ไป เผลอครู่เดียวฉันก็รู้สึกติดอยู่กลางทาง ความหมายของฉันเริ่มเปลี่ยนแปลงไป และการทำละครเริ่มไม่ได้ให้ความหมายในแบบเดิมกับฉัน ต่างกันจาก Bergman (และวิถีที่ศิลปินหลายคนเลือก ก็คือทำไปต่อไม่มีการถอยหลังออกมา) ฉันเลือกวิถีทางที่แตกต่างออกไป
การมีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่นก็น่าจะเป็นข้อดีของการทำงานเป็นศิลปิน มีคนคัดค้านฉันให้เปลี่ยนทิศทางด้วยเหตุผลข้างต้น แต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น และความกลัวว่าฉันจะไม่ได้มีรับรสชาติชีวิตแบบที่คนอื่น ๆ เขาได้รับกัน เช่น รสชาติของการทำงานบริษัท การปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ ในวัยทำงาน การได้มีความสัมพันธ์เกินเพื่อนในวัยทำงาน ฉันก็ก้าวเท้าเข้าไปสู่โลกของการทำงานเช้าเลิกเย็น และผลงานถูกวัดด้วยตัวเลขต่าง ๆ ในที่สุด ฉันไปลึกถึงขนาดที่ว่า ฉันสมัครเรียนและได้รับเข้าไปเรียนใน Business school อันดับต้น ๆ ของโลกที่เมืองมิลาน ในประเทศอิตาลี แต่บางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติก็เกิดขึ้น ฉันเริ่มเดินไปเรียนทุกวันโดยถามตัวเองถึงความหมายของการมาอยู่ตรงนั้น ในขณะที่หลายคนมีความสุขกับการได้นั่งอยู่ในห้องเลคเชอร์เป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน และห้าวันต่อสัปดาห์ พร้อมกันกับการทำงานกลุ่มอีกสารพัด ฉันตั้งคำถามกับการที่เราไม่ได้ตั้งคำถามต่อประเด็นใด ๆ เลยที่เกิดขึ้นจริงบนโลก การไม่ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น และการไม่มีเวลาได้คิดใคร่ครวญ ค้นคว้าเกี่ยวกับประเด็นเหล่านั้น ทุกวันฉันเผชิญกับคำถามว่า ฉันจะใช้เส้นทางใดดีใน google map เพื่อเดินไปโรงเรียน จะแวะร้านกาแฟร้านใดดีในระหว่างทาง และที่ร้านกาแฟ ฉันถามตัวเองว่า ฉันจะสั่งกาแฟและขนมอะไรดี
“ตอนนี้ฉันจิตตกมาก” ฉันพิมพ์บอกเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่อยู่เมืองไทย หลังจากการคุยโทรศัพท์กัน “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของความเชื่อ ฉันเชื่อว่าการมาเรียนแบบนี้จะทำให้ฉันมีงานและมีชีวิตที่ดีได้” เราสรุปกันในการพูดคุยในวันนั้น แล้ว Bergman เชื่อในอะไร? สารคดี suggest ว่า เราไม่สามารถเชื่อในข้อเขียน หรือถ้อยคำที่เขาให้สัมภาษณ์ได้ เพราะมันมักจะขัดแย้งกันเองบ่อยครั้ง เช่น เมื่อเขาให้สัมภาษณ์กับ Dick Cavett นักจัดรายการสัมภาษณ์ชื่อดังชาวอเมริกา เขาบอกว่าเขา เคยไปพบจิตแพทย์อยู่ครั้งหนึ่งเพื่อรักษาอาการที่เขาไม่สามารถหยุดขยับขาได้ตอนนอนลง (เป็นอาการอย่างหนึ่งของ anxiety, ผู้เขียน) แต่สิ่งที่เขาไม่ได้เล่า และมีคนเล่าเพิ่มก็คือ ถ้าเขารักษาเขาอาจจะหยุดทำหนัง
แต่ theme ที่ relevant และเห็นได้เสมอในหนังของ Bergman ตั้งแต่ Seventh Seal และ Wild Strawberries ก็คือตัวเขา และความคิดกังวลเกี่ยวกับความตายของตัวเอง บางทีความรู้สึกว่าฉันจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ของ Bergman มันทำให้เขาไม่สามารถที่จะหยุดทำสิ่งต่างๆ ได้ และไม่สามารถที่จะปล่อยให้ตัวเองหายยุ่งได้ จนต้องหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทำเพิ่มขึ้น ๆ เพิ่มขึ้น ๆ จนมีอะไรให้ทำเต็มไปหมด และถึงแม้ว่าเขาจะเหนื่อยมากจนต้องเข้าไปนอนพักในโรงพยาบาลด้วยเช่นกันในปี 1957 แต่เขาก็ยังไม่สามารถหยุดได้ขณะอยู่ในโรงพยาบาลและเขียนเรื่อง Wild Strawberries ออกมา
แล้วอะไรที่ทำให้ Bergman พิเศษ? ความสำเร็จของเขาหรือ หรือมันก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญ? แล้วมันเป็นเครื่องยืนยันของอะไรได้บ้าง? มันอาจจะไม่ใช่เครื่องยืนยันของอะไรเลยก็ได้? มีแต่เพียงคุณ Bergman นั้นที่ตอบได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับชีวิตของเขา