(1/4) มายาพิศวง: จากมายาพิศวง ถึง กางจอ สองเดือนกับละครและภาพยนตร์หลายเรื่องในเรโทรเสป็กต์ มันทำให้เรามองเห็น และคิดถึงอะไรบ้าง?
มายาพิศวง: มายาหม่อมน้อย และกล้องพิศวง?
“ความจริงในตัวละครสำคัญที่สุด”
หม่อมน้อยสรุปประมาณนี้ผ่านตัวละคร “ผู้กำกับ” ในตอนจบของเรื่อง “มายาพิศวง”(2022: ดัดแปลงจากบทละครเรื่อง ตัวละครหกตัวตามหาคนเขียน) เราไม่รู้ว่าจริงๆแล้วหม่อมน้อยคิดอะไร หรือความจริงที่ว่าของหม่อมน้อยหน้าตาอย่างไร แต่เราพอจะรู้ว่าหม่อมน้อยมีทัศนคติต่อความจริงภายนอกตัวละครอย่างไร
ในเรื่อง “อุโมงค์ผาเมือง”(2011: ดัดแปลงจากราโชมอน) หม่อมน้อยก็วาดภาพความจริงในชีวิตว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าสลดจนไม่มีใครสามารถจะพูดถึงมันอย่างที่มันเป็นได้แทบจะเหมือนกับมายาพิศวง เพียงเปลี่ยนฉากและเนื้อหาแต่เพียงเท่านั้น จนน่าสงสัยว่ามันมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงเพื่อจะพูดถึงประเด็นเล็กๆนี้เพียงประเด็นเดียวหรือไม่?
ผู้เขียนลองมองสุนทรียารมณ์ของหนัง ในด้านความสวยงามด้านภาพยนตร์แล้วก็รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้เป็นบันทึกการแสดงสดมากกว่าภาพยนตร์ เพราะมันเพียงใช้ภาพเล่าเรื่องในบางจุดเท่านั้น ในด้านเสียงก็มักมีดนตรีพื้นหลังทับซ้อนกับการคุยกันของตัวละครให้รำคาญหู และหนังใช้การคุยกันของตัวละครในโรงคือพาหนะหลักที่พาเรื่องเดินหน้า แต่นักแสดงพวกนี้เล่นกันในลักษณะที่เอาอารมณ์เป็นลิ่มๆมาตอกใส่หน้าคนดูจนหงายหลังแบบที่ฝรั่งเรียกว่า “แฮม” พวกเขาแผดเสียงโวยวายกันอย่างกับนอกโรงกำลังมีอัคคีภัยแล้วจะไปช่วยกันดับไฟ
แต่หากเราลองดูบันทึกการแสดงของคณะรอยัลเชคสเปียร์ ในอังกฤษ เราจะเห็นว่านักแสดงฝีมือดีที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเยี่ยมยอดจากราชวิทยาลัยการละคร โรงเรียนการละครแห่งลอนดอน โรงเรียนกิลด์ฮอลแผนกการละคร หรือโรงเรียนการละคร บริสตอล โอลวิก เหล่านั้นอาจจะกลายเป็นการกระซิบไปเลยเมื่อเทียบกับมายาพิศวง ทำไมมันจึงเป็นแบบนี้?
“หม่อมน้อยมิได้มีรสนิยมวิไลในการเลือกชมละครดีๆ เท่านั้น แต่ท่านยังเป็นนักดูหนังอาร์ทหนังศิลปะที่รสนิยมดีมาก”
คุณกัลปพฤกษ์นักวิจารณ์ละครและภาพยนตร์เขียนใน the101world พร้อมจาระไนให้เราเห็นว่าเครื่องแต่งกายของตัวละครในเรื่องเอามาจากหนังเรื่องไหนบ้าง เช่น จากเรื่อง เดธ ออฟ เวนิส(1982) หรือ เดอะ เติร์ด แมน(1949) เป็นต้น
“มันน่าสงสัยมากเลยใช่ไหมว่าถ้ารสนิยมการดูหนังของหม่อมน้อยจะบรรเจิดเลิศวิไลขนาดนี้ ทำไมทีเวลาสร้างงานของตัวเองมันถึงได้บ้ง?”
กัลปพฤกษ์ถาม
“ทุกเรื่องที่สร้างทำมาไม่สามารถมองเป็นจริตทางศิลปะส่วนตัวในแบบของหม่อมน้อยได้ เพราะหนังของหม่อมทำออกมาเพื่อ ‘ขาย’ เพื่อให้นายทุนได้ ‘กำไร’ จากการที่คนไทยแห่กันมาดู เพราะหม่อม รู้ว่าหนังแต่ละเรื่องต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลมากมาย ปัจจัยชี้วัดความสำเร็จสำคัญมันคือ ‘ยอดขาย’ ตามมาด้วยผลพลอยได้ที่คนไทยจะได้เรียนรู้ชีวิตจากต้นแบบบทประพันธ์ชั้นดี”
กัลปพฤกษ์ตอบ
บางทีการได้ใช้ชีวิตมาเกือบเจ็ดสิบปีและอยู่กับภาพยนตร์มานานคงเพียงพอแล้วที่จะทำให้หม่อมน้อยเข้าใจว่าในจอภาพยนตร์นั้นเราได้เห็นแต่ในสิ่งที่คนทำหนังอยากให้เห็น และนั่นไม่ใช่เพียงความจริงในภาพยนตร์แต่คือความเป็นจริงของยุคสมัยนี้
การผลิตซ้ำเช่นการยืมคอสตูมของเรื่องอื่นๆ
หรือการเอาภาพจากพิพิธภัณฑ์มาสกรีนลงเสื้อ การปริ้นภาพจากอินเตอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ใครก็ทำได้ แม้ว่าสิ่งที่ได้ออกมาจะไม่ได้สมบูรณ์เหมือนต้นฉบับ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว
นักโฆษณาต่างใช้กลวิธีเหล่านี้เล่นกับอารมณ์หลงใหลใฝ่ฝันของคน
หม่อมน้อยก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้และใช้มันในการจ้างนักแสดงมาโชว์เรือนร่าง นำเสนอชีวิตฟุ้งเฟ้อในจินตนาการของคนที่จะเข้าไปดูหนัง รายได้ของหนังหม่อมน้อยพิสูจน์ว่ามันได้ผล
แต่การใช้ภาพและเสียงในลักษณะที่เชื้อเชิญคนดูก็เป็นสิ่งที่ทำได้ ผู้เขียนลองนึกถึงหนังหลายเรื่องที่นำเสนอภาพของชนชั้นกลางในชั้นคล้ายๆภาพที่หม่อมน้อยพยามนำเสนอ เช่น
ต่างสามารถที่จะเอากล้องตามจับภาพชนชั้นกลางเหล่านี้ และใช้เสียงคุยกันในระดับที่เป็นธรรมชาติแทบจะกระซิบ ให้คนดูสังเกตพวกเขาจากระยะที่ห่างกว่าของหม่อมน้อยมาก แต่หม่อมน้อยก็อาจจะคิดมาแล้วว่าการแสดงแบบเสียงดังๆเหมือนลีลาผู้ประกาศข่าวช่องหลักสมัยนี้เท่านั้นที่เอาผู้ชมไทยอยู่ และหลังจากที่ไม่มีอะไรในแง่ของการแสดงทำให้คนดูรู้สึกแปลกแยกจากหนังแล้ว สิ่งที่เริ่มทำงานกับพวกเขาก็คือ “ภาพ”
“กล้องจำกัดการมองเห็น”
จอน เบอร์เจอร์ เล่าไว้ใน เวย์ ออฟ ซีอิ้ง (Ways of Seeing, John Berger) ว่า
“คุณมองเห็นอะไรขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ที่ไหนและเมื่อไหร่ มันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่จะคิดว่าดวงตามนุษย์คือจุดรับรู้หลักของการมองเห็น”
ในสมัยที่ไม่มีกล้องดวงตาเราคือจุดรับรู้หลัก ภาพที่เราเห็นไม่สามารถถูกกำหนด ตกแต่ง หรือคัดสรรมาให้เห็นได้ แต่เมื่อกล้องถูกประดิษฐ์ขึ้น มันทำได้และ
“สิ่งที่มนุษย์มองเห็น(ผ่านกล้อง)ถูกทำให้เชื่อว่าคือภาพในอุดมคติ”
หม่อมน้อยดูจะเข้าใจกล้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้องภาพยนตร์เป็นอย่างดีว่ามันทำอะไรกับการมองเห็นของคนได้บ้าง
“แบบนั้นมันไม่ใช่อารมณ์ของมนุษย์ แบบนี้ถึงจะใช่ คนถึงจะเชื่อ”
ตัวละครตัวหนึ่งในมายาพิศวงพูดทำนองนี้ บางทีหม่อมอาจจะคิดว่าไหนๆสื่อแบบไหนก็ทำแบบนี้กันหมด ฉันก็ทำบ้าง คนดูชอบแบบไหนอยากเห็นอะไรก็ให้เขาเห็นบ้าง เพียงเรียนรู้บางอย่างไปก็พอแล้ว เราไม่มีทางรู้ว่าจริงๆแล้วหม่อมน้อยคิดอย่างไร แต่การที่หม่อมน้อยสามารถจะเป็นนักสร้างภาพยนตร์ที่ยืนยงคงกระพันอยู่ในที่ที่ฉากหลังเป็นสังคมไทยได้จนวันสุดท้ายของชีวิต มองสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย รสนิยมผู้ชมไทย และหันกลับมาดูรายละเอียดต่างๆในงานของหม่อมน้อย อย่างน้อยที่สุดเราพออนุมานได้ว่าหม่อมน้อยคงจะต้องอดทนมามาก และรักในศิลปะของตนมากเช่นกัน จึงขอแสดงความเคารพและสดุดีท่านด้วย ณ ที่นี้
เชิงอรรถ:
กัลปพฤกษ์, ‘มายาพิศวง’ สูงส่งลงสู่ต่ำต้อย เมื่อความด้อยรสนิยมเป็นสิ่งงมงาย กับผลงานเรื่องสุดท้ายของหม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล, The 101 World: https://www.the101.world/the-six-characters/
John Berger, Way of Seeing, Penguin, London, 1972.